การเมืองไทยในทุกยุคสมัยล้วนมีบุคคลที่ถูกยกให้เป็น “ผู้นำจิตวิญญาณ” ของบางพรรคบางขบวนการ คนเหล่านี้ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งบริหารสูงสุด แต่กลับกำหนดทิศทาง ปลุกพลังมวลชน และสร้างแรงสะเทือนให้สังคมได้เหนือกว่าผู้นำรัฐบาลเสียอีก
หากจะหยิบสามชื่อที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในรอบสองทศวรรษ ได้แก่ เนวิน ชิดชอบ, ทักษิณ ชินวัตร และธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งแต่ละคนมีสไตล์และเส้นทางที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่เมื่อเปรียบเทียบกันอย่างถึงที่สุดแล้ว คำตอบที่ได้คือ “เนวิน” ถูกมองว่าเหนือชั้นกว่า ในแง่การอยู่รอดและการกำหนดเกมการเมือง

ทักษิณ ชินวัตร: จอมทัพที่ถูกพันธนาการด้วยกฎหมาย
ทักษิณถูกยกให้เป็น “จอมยุทธ์ทางการเมือง” ผู้ใช้ทุน เครือข่าย และนโยบายประชานิยมเข้ามาพลิกโฉมระบบเลือกตั้ง พรรคไทยรักไทยกวาดชัยชนะถล่มทลายทั้งปี 2544 และ 2548 จนกลายเป็น “เจ้าของเสียงข้างมากเด็ดขาด” ครั้งแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
แต่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ก็พาทักษิณสู่การเผชิญหน้ากับโครงสร้างอำนาจเก่า จนนำไปสู่รัฐประหารและคดีทุจริต แม้เขายังคงเป็นสัญลักษณ์ที่ “ฆ่าไม่ตาย” และยังมีบทบาทชี้นำพรรคเพื่อไทยอยู่เบื้องหลัง แต่ทุกการเคลื่อนไหวล้วนถูกโซ่ตรวนกฎหมายผูกมัด จนท้ายที่สุดต้องก้มหน้าเข้ารับโทษในเรือนจำ บารมียังคงอยู่ แต่พลังในการกำหนดเกมถูกจำกัดลงอย่างชัดเจน

ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ: นักมวยดาวรุ่งที่ถูกจับแพ้ฟาวล์
หากทักษิณคือสัญลักษณ์ของ “ทุนการเมือง” ธนาธรก็คือภาพแทนของ “คนรุ่นใหม่” ที่มุ่งทลายโครงสร้างเก่า เขาใช้วาทศิลป์คมคาย การสื่อสารตรงไปตรงมา โหมชูประเด็นสิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม และการกระจายอำนาจ ทำให้กลายเป็นขวัญใจของคนรุ่นใหม่ในเวลาอันรวดเร็ว
แต่การมุ่งปะทะโดยตรงกับโครงสร้างอำนาจดั้งเดิม ก็ถูกมองว่าอาจเป็นหนึ่งในเงื่อนไข นอกเหนือจากข้อผิดพลาดตามกฎหมายที่ทำให้ธนาธรถูก “ตัดสิทธิ” ในเกมการเมืองอย่างเจ็บปวด พรรคอนาคตใหม่ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบ และตัวธนาธรถูกห้ามยุ่งเกี่ยวกับการเมือง แม้ยังคงขับเคลื่อนผ่านคณะก้าวหน้า แต่การขาดพื้นที่ในสภา ทำให้ธนาธรเป็นเพียงนักมวยดาวรุ่งที่ยังมีแรงเชียร์ แต่ไม่อาจขึ้นเวทีได้

เนวิน ชิดชอบ: ผู้กำกับละครการเมืองที่ไม่เคยหายไปจากฉาก
ในบรรดาสามผู้นำจิตวิญญาณ “เนวิน” อาจไม่เคยมีฐานมวลชนมหาศาลแบบทักษิณ และไม่ได้ปลุกกระแสอุดมการณ์เช่นธนาธร แต่สิ่งที่ทำให้เขาเหนือชั้น คือศิลปะการอ่านเกม และรู้จังหวะก้าวที่เหมาะสม
เนวินเคยเป็น “มือขวา” คนสำคัญในรัฐบาลทักษิณ แต่เมื่อถึงคราวเปลี่ยนขั้ว เนวินกลับเลือกจับมือพรรคประชาธิปัตย์จัดตั้งรัฐบาลปี 2551 จนเกิดวลีอมตะ “มันจบแล้วครับนาย” และเปลี่ยนหน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยในชั่วข้ามคืน จากนั้นถอยออกจากเวทีการเมืองใหญ่ไปสร้างฐานอำนาจใหม่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยเฉพาะ “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ที่ทำให้ชื่อของเนวินยังมีน้ำหนักต่อรองในทุกสมการการเมือง
แม้วันนี้เนวินจะไม่ได้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองโดยตรง แต่ทุกครั้งที่การเมืองไทยสั่นสะเทือน โฟกัสมักจะจับไปที่เนวินเสมอ เพราะได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การเมืองไม่จำเป็นต้องยึดเก้าอี้รัฐมนตรีหรือ ส.ส. หากแต่อำนาจที่แท้จริงคือ “การต่อรองที่อยู่เหนือผลเลือกตั้ง”
ทำไมเนวินถูกมองว่าเหนือชั้น?
1. การอยู่รอด – ทักษิณต้องลี้ภัยและติดคุก, ธนาธรถูกตัดสิทธิ แต่เนวินยังยืนมั่นคง
2. การปรับตัว – รู้จักรุกถอยตามสถานการณ์ ไม่ยึดติดตำแหน่ง แต่รักษาฐานอำนาจท้องถิ่นและเครือข่าย
3. อำนาจต่อรอง – แม้ไม่อยู่ในสภา แต่ทุกดีลการเมืองใหญ่ มักมีชื่อเขาเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลัง
เวทีสุดท้ายของการเมืองไทย
“หากเปรียบการเมืองไทยเป็น หมากรุกใหญ่” ทักษิณคือจอมทัพที่เดินหมากเร็วเกินไปจนถูกโต้กลับ ธนาธรคือดาวรุ่งที่ถูกกรรมการสกัดไม่ให้เล่นต่อ ส่วนเนวินคือผู้กำกับที่ไม่ต้องเดินหมากเอง แต่ยังเขียนบทและล้มกระดานได้ในยามจำเป็น
นี่คือเหตุผลว่าทำไมเมื่อพูดถึง “ผู้นำจิตวิญญาณ” ในการเมืองไทยร่วมสมัย คำตอบสุดท้ายยังคงเป็น “เนวินเหนือชั้น” เพราะไม่เพียงอยู่รอด แต่ยังเลือกบทบาทที่ทำให้ตนเองเป็น “ผู้เล่นที่ขาดไม่ได้” ในทุกยุคทุกสมัยของการเมืองไทย
และนี่คือสิ่งที่ยืนยันว่า อำนาจการเมืองไทยไม่ได้ขึ้นอยู่กับการชนะเลือกตั้งเท่านั้น แต่อยู่ที่ใครสามารถสร้าง ‘พื้นที่ต่อรอง’ และปรับตัวให้รอดพ้นได้ท่ามกลางพายุแห่งการเปลี่ยนแปลง