การที่พรรคการเมืองเปิดเผยรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีทั้งคณะก่อนการเลือกตั้งนั้น ถือเป็นแนวทางที่มีทั้งมิติเชิงบวกและเชิงลบที่ส่งผลต่อทั้งตัวพรรค ผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และระบบการเมืองโดยรวม
ในแง่หนึ่ง การเคลื่อนไหวเช่นนี้เป็นการเพิ่มความโปร่งใสและสร้างความเชื่อมั่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ทำให้ประชาชนสามารถพิจารณาคุณสมบัติ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ของทีมงานที่จะเข้ามาบริหารประเทศได้อย่างรอบด้าน และมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งสะท้อนถึงความพร้อมและจริงจังของพรรคในการบริหารประเทศ ไม่ใช่เพียงแค่การหาเสียงเพื่อหวังชัยชนะเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอีกด้วย
อย่างไรก็ตาม เหรียญอีกด้านของการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีล่วงหน้าก็มีข้อควรระวังอยู่ไม่น้อย การทำเช่นนี้อาจสร้างความขัดแย้งภายในพรรคได้ หากสมาชิกไม่พอใจกับตำแหน่งที่ได้รับ ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดการแตกแยก นอกจากนี้ทีมงานที่ถูกเปิดเผยรายชื่อย่อมตกเป็นเป้าโจมตีของพรรคคู่แข่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้ต้องเผชิญกับการตรวจสอบอย่างเข้มข้น ทั้งประวัติส่วนตัวและประวัติการทำงาน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของทั้งบุคคลและพรรคโดยรวม
ที่สำคัญ การประกาศรายชื่อล่วงหน้าอาจทำให้ความยืดหยุ่นในการจัดตั้งรัฐบาลลดลง หากพรรคไม่ได้เสียงข้างมากตามที่คาดไว้และต้องเจรจากับพรรคร่วมรัฐบาล การปรับเปลี่ยนตำแหน่งตามข้อตกลงทางการเมืองอาจทำได้ยากขึ้น
เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูงที่จะมีรัฐบาลผสมอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากรัฐธรรมนูญและระบบการเลือกตั้งที่ถูกออกแบบมาเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้พรรคใดพรรคหนึ่งไม่สามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรได้โดยง่าย
การเปิดเผยรายชื่อคณะรัฐมนตรีทั้งหมดก่อนการเลือกตั้งนั้นไม่ได้เป็นสิ่งที่ทำกันทั่วไปในระดับสากล แต่ก็มีหลายประเทศที่พรรคการเมืองชั้นนำมักจะประกาศรายชื่อผู้ที่จะดำรงตำแหน่งสำคัญบางตำแหน่งเพื่อแสดงถึงความพร้อมและสร้างความน่าเชื่อถือ เช่น สหราชอาณาจักรมีการแต่งตั้ง "รัฐบาลเงา" (Shadow Cabinet) และในสหรัฐอเมริกา ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีก็มักจะประกาศรายชื่อรัฐมนตรีในตำแหน่งสำคัญบางส่วนเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้ลงคะแนนเสียง
ในบริบทของการเมืองไทย การนำแนวทางนี้มาปรับใช้ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อลดผลกระทบเชิงลบและเพิ่มประโยชน์สูงสุด อาจเริ่มต้นจากการเปิดเผยรายชื่อทีมงานที่จะดูแลกระทรวงเศรษฐกิจและกระทรวงหลัก ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายที่พรรคให้ความสำคัญก่อน นอกจากนี้ควรเปิดโอกาสให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็น และที่สำคัญที่สุด พรรคควรเน้นการสื่อสารเรื่องวิสัยทัศน์ของทีมที่จะทำงานร่วมกันเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปในทิศทางที่ชัดเจน มากกว่าการมุ่งเน้นที่ตัวบุคคลเพียงอย่างเดียว แนวทางนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานการเมืองให้มีความโปร่งใสและตรวจสอบได้มากขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการพัฒนาประเทศในระยะยาว