สถาพร ศรีสัจจัง มีข้อสรุปกันในหมู่ผู้รู้อย่างชัดเจนแล้วว่า ตั้งแต่ประเทศเราไปสมาทานรับเอา “ลัทธิการผลิตแบบบริโภคนิยม” ของโลกตะวันตกมาใช้ในการ “พัฒนาประเทศ” (เราใช้สหรัฐอเมริกาเป็นต้นแบบ โดยนโยบายที่เรียกว่า “Modernization model” ที่เกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มมี “แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ” ตั้งแต่แผนระยะที่ 1 เมื่อช่วงต้นทศวรรษ 2500 ในยุค “จอมเผด็จการผ้าขะม้าแดง” จอมพลสฤฤษดิ์ ธนะรัชต์ นั่นแหละ) จากนั้นทรัพยากรพื้นฐานที่สำคัญที่สุดของบ้านเมือง คือผืนน้ำ แผ่นฟ้า และแผ่นดิน ทั้งหมดของเราก็ค่อยๆก้าวเข้าสู่ความพังพินาศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงปัจจุบันที่อาจกล่าวได้ว่า แทบทั้งหมดทั่วแผ่นดินไทยกำลังตกอยู่ใน “ภาวะมลพิษ”แทบจะโดยสิ้นเชิง ตราไว้ได้เลยว่า หนึ่งในต้นเหตุสำคัญของการก่อเกิดมลพิษที่ร้ายแรงต่อพื้นน้ำ แผ่นฟ้า และแผ่นดิน ก่อภาวะเจ็บป่วยทุกข์ทรมาน พิกลพิการ และสูญเสียชีวิตของผู้คนทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ทั้งเฉียบพลันและผ่อนส่งก็คือ สารพิษทางการเกษตร! สารพิษทางการเกษตรที่ทำเงินอย่างมหาศาลจนยากจะคณานับ ให้แก่บรรษัทข้ามชาติผู้ผลิตและเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์และกลุ่มทุนในประเทศผู้เป็น “ทุนนายหน้า” และบรรดาเอเย่นต์รายย่อยทั้งหลาย (รวมทั้งนักวิชาการและคนของรัฐที่เกี่ยวข้องจำนวนหนึ่ง) สารพิษฯที่บัดนี้แทบทุกประเทศทั่วโลก (ที่พัฒนาแล้ว) ล้วนประกาศเลิกใช้ไปแล้ว และกำลังถูกรณรงค์ต่อต้านอย่างหนักจากผู้ที่ต้องเผชิญพิษโดยตรงของมัน กลุ่มนักวิชาการผู้รักความถูกต้องเป็นธรรม กลุ่มเอ็นจีโอ ที่เกี่ยวข้อง และ ฯลฯในเมืองไทย พร้อมๆกับการ “ดิ้นพล่านเฮือกสุดท้าย” ของกลุ่มผู้สูญเสียผลประโยชน์ นำโดยกลุ่มทุนที่เกี่ยวข้องและบรรดา “บูโรแกร็ท” ผู้รับใช้ “ทุน” เพื่อผลประโยชน์ส่วนตนและเศษเบี้ยใบ้รายทางที่ได้รับทั้งหลาย! จนเกิดกรณี “สอบสวน ศาสตราจารย์ นายแพทย์ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา” ศาสตราจารย์ระดับ 11 นักวิชาการทางการแพทย์ผู้เลื่องชื่อลือนามในผลงานทั้งระดับชาติและระดับสากล แห่งจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยอยู่ในบัดนี้ ศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา นั้น เป็นที่รู้กันในระดับชาติว่า ในห้วงเวลาหลายปีที้พ้นผ่าน ท่านได้ยืนหยัดขึ้นนเป็น “กองหน้า” ในการต่อสู้เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์มหาชนและความดีาวหน้าทางสังคมวิชาการ อย่างน้อย 2 เรื่องสำคัญ เรื่องแรก คือการร่วมรณรงค์ให้นำพืชกัญชามาใช้ประโยชน์ทางการแพทย์เพื่อบำบัดรักษาอาการเจ็บป่วยของประชาชน ในขณะที่ท่านเป็นแพทย์แผนปัจจุบันระดับผู้ทรงคุณวุฒิชั้นสูงของประเทศ แต่กลับสนับสนุนการแพทย์แผนไทยในเรื่องนี้อย่างจริงใจและแข็งขันเป็นที่สุด เรื่องที่ 2 คือเรื่องการ “ถอนพิษให้แผ่นดิน” โดยท่านได้ออกมาอภิปรายให้ความรู้ให้ข้อมูลเพื่อร่วมรณรงค์ให้ประเทศไทยยกเลิกการใช้สารพิษทางการเกษตร โดยเฉพาะสารพาราควอต/ไกลโฟเซต/และคลอร์โฟริฟอส แน่นอนว่าการ “ยืนผงาดขึ้นตีแสกหน้า” กลุ่มผลประโยชน์มหาศาล ย่อมต้องมีผู้ขุ่นเคืองและต้องการ “ตอบโต้สั่งสอน” ทำนอง “เชือดคอช้างให้ไก่ดู” เป็นธรรมดา นั่นคือ มีการร้องเรียนให้สอบสวนศาสตราจารย์ นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ว่ามีการทำผิดวินัยและจริยธรรม รวมถึงยัดเยียดข้อหา “นำข้อมูลอันเป็นเท็จเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์” ให้ด้วย ดังปรากฏความตามหนังสือลับของจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัยที่ 4636/2562(อ้างจากโพสต์ในเฟสบุ้คของนายปานเทพ พัวพงศ์พันธุ์ ลว.24 สิงหาคม 2562)เรื่อง แต่งตั้งคณะกรรมการสวบสวนข้อเท็จจริงฯ แต่บุคลากรหายากที่มีเกียรติภูมิระดับโลกอย่างศาสตราจารย์(ระดับ 11) นายแพทย์ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ย่อมไม่ใช่ “ลิง” ตามคำเปรียบในสำนวนไทย แต่ย่อมคือพญาคชสารผู้สง่างามและเปี่ยมพลัง และที่สำคัญก็คือ ท่านคือพญาคชสารของประชามหาชน! ดังนั้นเพื่อให้บรรดา “พิษแห่งแผ่นดิน” ทั้งหลายได้รู้ว่า มหาชนจะปกป้องคนทำความดี คนที่ลุกขึ้นสู้เพื่อความเป็นธรรมทางสังคมที่แท้จริง ผู้ที่ตระหนักถึงการนี้จึงต้อง “รวมกันเข้า” เพื่อแสดง “เสียง” และ “มติ” ให้ผู้นิยมสร้างพิษให้แผ่นดิน(ของตนเองและของโลก)เพียงเพื่อผลประโยชน์เฉพาะหน้าแห่งตน โดยไม่คำนึงถึงอนาคตลูกลาน ไม่คำนึงถึงความสูญเสียที่จะเกิดขึ้นต่อชีวิตอื่นทั้งในเบื้องนี้และเบื้องหน้า ได้ตระหนักว่า “คนไม่ได้กินแกลบ” อย่างที่นักเขียนผู้เป็นทัพหน้าประชาชนในอดีตคือท่านกุหลาบ สายประดิษฐ์หรือ “ศรีบูรพา” ผู้เรืองนามเคยกล่าวไว้ แชร์กันเยอะๆ เปล่งเสียงให้พร้อมกันกันเยอะๆ และถ้าทำได้ ช่วยไปสำแดงพลังร่วมกันที่ “ห้องสอบสวน” ณ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในวันที่ 29 สิงหาคม 2562 ให้เยอะๆด้วยเถอะ!!