เสือตัวที่ 6
ปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธของกลุ่มคนในขบวนการแบ่งแยกผู้คนไทยออกจากกันในพื้นที่ปลายด้ามขวาน จะไม่สามารถลงมือก่อการร้ายใดๆ ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือสนับสนุนจากกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมทั้งหลายของขบวนการร้ายแห่งนี้ ที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบต่างๆ ทั้งกลุ่มภาคประชาสังคมในพื้นที่ กลุ่มองค์กรเอกชนต่างๆ กลุ่มสื่อมวลชนแบบดั้งเดิม กลุ่มสื่อออนไลน์ รวมทั้งนักคิด นักวิชาการในสถาบันต่างๆ ตลอดจนนักคิดอิสระในคอยช่วยเหลือ ให้การปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธ สามารถลงมือได้อย่างตั้งใจ ทั้งยังช่วยสร้างกระแส IO เพื่อลดทอนความน่าเชื่อถือของรัฐ ตลอดจนการ IO ที่มุ่งประสงค์ให้การปฏิบัติการของเจ้าหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย การทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ และการระงับยับยั้ง และติดตามจับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงโดยเจาหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงในพื้นที่นั้น กระทำได้อย่างยากลำบากมากขึ้น
นอกจากนั้น การปฏิบัติการร้ายของกองกำลังติดอาวุธหัวรุนแรงของขบวนการ ยังกล้าที่จะลงมือก่อเหตุร้ายใดๆ ได้ ตามแผนการร้ายที่กำหนด ก็เพราะการที่ยังคงมีกลุ่มคนที่เป็นแนวร่วมที่แฝงตัวปะปนอยู่กับชาวบ้านในพื้นที่โดยทั่วไป ที่คอยให้ที่พักพิง ให้ที่รักษาพยาบาลหากได้รับบาดเจ็บจากการตอบโต้เพื่อป้องกันตัวของเจ้าหน้าที่ และการให้ที่หลบซ่อน ให้อาหารในการดำรงชีวิตกลุ่มติดอาวุธในระหว่างหลบซ่อนหลังปฏิบัติการร้ายสำเร็จลง เป็นการช่วยเหลือ สนับสนุนผู้กระทำอาชญากรรมที่แนบเนียน อันเข้าข่ายกลุ่มคนแนวร่วม ใต้ดิน ที่สามารถปกปิดการหาข่าวของเจ้าหน้าที่รัฐได้อย่างแนบเนียนดั่งมืออาชีพ
และหากเจ้าเหน้าที่รัฐกระทำอย่างเพรี้ยงพล้ำ ก็จะเข้าทางในการปฏิบัติการข่าวสารของแนวร่วมอีกกลุ่มหนึ่ง ที่จะช่วยรับช่วงสอดประสานการทำลายความชอบธรรมของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยมักจะอ้างว่า เป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ การจับผิดตัว การลบหลู่วิถีของชาวท้องถิ่น หรือการละเมิดสิทธิมนุษยชนของเจ้าหน้าที่รัฐ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปฏิบัติการอย่างเป็นกระบวนการของกลุ่มคนที่กำลังต่อสู้กับรัฐ ซึ่งจะส่งผลให้รัฐเอง แก้ปัญหาความไม่สงบได้ยากมากขึ้น และหากสื่อมวลชนที่ไม่มีความระมัดระวังในการนำเสนอข่างสารเหล่านี้ ก็จะช่วยสร้างโอกาสแห่งความสำเร็จของการปฏิบัติการข่าวสารของขบวนการได้มากขึ้น
ดังตัวอย่างหลังเหตุโจมตีฐานปฏิบัติการและจุดตรวจของชุดคุ้มครองตำบล หรือ ชคต. ในหมู่บ้านกอแลบิเละ ตำบลปะกาฮะรัง อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี ที่แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ให้เจ้าหน้าที่รัฐ เข้าตรวจสอบทั้ง 1,988 หมู่บ้านในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 4 อำเภอรอยต่อของจังหวัดสงขลา พบหมู่บ้านที่เป็น “แนวร่วม ใต้ดิน” เป็นลักษณะ "หมู่บ้านจัดตั้ง" ของกลุ่มก่อความไม่สงบ และเป็นหมู่บ้านที่มือสังหารของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงใช้เป็นแหล่งกบดานอยู่ 118 หมู่บ้าน ซึ่งที่ผ่านมามีการเข้าตรวจสอบและปะทะจับกุม พบว่ามีการแอบสร้างห้องลับใต้ดินภายในบ้าน หมู่บ้านเหล่านี้จึงเป็นเป้าหมายที่คนร้ายใช้หลบไปซ่อนตัวหลังก่อเหตุแล้ว จึงให้จัดชุดร่วม 10,000 นาย เข้าไปอยู่กินนอนภายในหมู่บ้าน เพื่อติดตามจับกุมและทำพื้นที่ให้ปลอดภัย โดยบีบบังคับด้วยชุดจรยุทธ์ เป็นวิธีการกดดันอีกทางหนึ่ง โดย แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวว่า "คนเหล่านี้มาจากหมู่บ้าน ออกจากหมู่บ้านแล้วกระจายไปก่อเหตุ จากนั้นก็มารวมกัน เพราะฉะนั้นใน 118 หมู่บ้าน ชุดปฏิบัติการทั้ง 735 ชุดต้องเข้าไปเต็มพื้นที่ ต้องบีบให้เขาออกมาให้ได้ พฤติการณ์ของเขาคือมารวมตัวกันก่อเหตุ เสร็จแล้วก็สลายหรือแอบข้างบ้านที่เป็นแนวร่วมใต้ดิน คอยให้การสนับสนุน”
หากนับย้อนไปถึงปี 59 ที่ยังมีข้อมูล "หมู่บ้านแนวร่วมใต้ดิน ที่จัดตั้ง" ปรากฏอยู่ในรายงานของฝ่ายความมั่นคง จำนวน 136 หมู่บ้าน เทียบกับข้อมูลล่าสุด ณ ปี 62 ของแม่ทัพภาคที่ 4 จะมี "หมู่บ้านจัดตั้ง"ที่มีความเคลื่อนไหวของกลุ่มก่อความไม่สงบ เหลือเพียง 118 หมู่บ้าน ย่อมหมายความว่าจำนวน "หมู่บ้านที่เป็นแนวร่วมใต้ดิน" ลดลง 18 หมู่บ้าน นับจากปี 59 ซึ่งก็น่าจะเป็นแนวโน้มที่ดีในความพยายามในการแก้ไขปัญหาการให้ที่พักพิงของบรรดาแนวร่วมใต้ดินที่อาศัยอยู่ตามหมู่บ้านในพื้นที่
และหากรัฐบาล โดยเฉพาะฝ่ายความมั่นคง ได้ให้ความพยายามอย่างสูงขึ้น ในการสลายแนวร่วม ใต้ดิน ของขบวนการร้ายแห่งนี้ ที่แฝงตัวอยู่ในหลากหลายรูปแบบ ร่วมกับการปฏิบัติการข่าวสารเชิงรุกของรัฐอย่างจริงจังและเต็มกำลังแล้ว ก็เชื่อได้ว่า กลุ่มคนหัวแข็ง แนวคิดสุดโต่ง ที่นิยมความรุนแรง เข้าไปรวมกลุ่มเพื่อติดอาวุธ เข้าทำร้ายผู้บริสุทธิ์ อย่างเลือดเย็น ทำลายความสงบสุขของผู้คนในพื้นที่ จะไม่กล้าลงมือก่อเหตุร้ายใดๆ ได้ เพราะขาดตัวช่วยสำคัญในการก่อเหตุร้าย นั่นคือบรรดาแนวร่วมใต้ดินทั้งหลายดังที่กล่าวมา อันเป็นการลดโอกาสในการก่อเหตุของคนกลุ่มหัวแข็งนี้ลงได้ และลดการสูญเสียของเจ้าหน้าที่ ตลอดจนพี่น้องผู้บริสุทธิ์ในพื้นที่ โดยเร่งจำกัดแหล่งพักพิง และสลายแนวร่วม ใต้ดินทั้งหลายของขบวนการให้หมดสิ้นลง แม้ว่ากลุ่มคนหัวคิดสุดโต่งเหล่านี้ จะไม่เปลี่ยนความคิดร้ายๆ ก็ตาม