ชัชวาลล์ คงอุดม เรียน กองบรรณาธิการ นสพ.สยามรัฐ คอลัมน์ "ชัช เตาปูน ตอบจดหมาย" สังขารคนเราไม่เที่ยงแท้จริงๆ นับวันอายุอานามมากขึ้น สังขารก็ล่วงเลยเป็นธรรมดาของสัจธรรมมนุษย์ ไม่มีใครหนีพ้นวัฏจักรนี้พ้นเพียงแต่เมื่อชราภาพกันแล้ว แต่ละชีวิตจะมีวิธีการประคับประคองตัวเองให้อยู่บนโลกใบนี้อย่างไม่ทนทุกข์ทรมานหรือใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่ลำบากกันได้อย่างไร นี่เป็นโจทย์ใหญ่ที่สังคมไทยเรารู้และตระหนักและพูดถึงกันมาก แต่ในรูปธรรมกลับทำไม่ได้ เพราะคนไทยเราไม่ได้คิดวางแผนหรือเตรียมกันมาก่อนตั้งแต่ยังหนุ่มยังสาวในวัยทำงานกัน อีกทั้งคนส่วนใหญ่ก็ชะล่าใจกันมาตลอด คิดว่าเป็นเรื่องอีกยาวไกล ไปตายเอาดาบหน้ากัน จึงทำให้การวางแผนเตรียมตัวกับการรับการเกษียณการทำงานของคนไทยเลยอยู่ในสภาพเช่นนี้ พึ่งพาลูกหลานหรือพึ่งพารัฐสวัสดิการกันเป็นหนทางออกเดียว โดยเฉพาะสังคมชนบทผู้สูงอายุยังพอจะปรับตัวใช้ชีวิตอยู่ได้ เนื่องจากยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงบ้าง ประกอบกับวิถีชีวิตประกอบอาชีพเกษตรกรรมกันอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยประสบกับปัญหาอาหารการกินสักเท่าไหร่ เพราะยังเก็บผักจับปลาหรือเลี้ยงไก่เลี้ยงหมูมาประกอบอาหารกินในแต่ละมื้อได้ รวมถึงความแข็งแรงของผู้สูงอายุในชนบทมักจะแข็งแรงกว่าผู้สูงอายุที่อยู่ใน กทม. หรือคนที่เป็นข้าราชการหรือพนักงานที่เกษียณอยู่แล้ว เรื่องอาหารการกินหรือสุขภาพเจ็บป่วยสำหรับผู้สูงอายุในชนบทคงจะไม่มีจำนวนมากเหมือนผู้คนในเมืองหลวง หรือพวกคนที่นั่งกินนอนกินกัน แต่อย่างไรก็ตาม แนวโน้มผู้สูงอายุในชนบทที่สุขภาพแข็งแรงหรือยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ก็นับวันจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา เด็กหรือคนรุ่นใหม่ไม่อึดหรือยึดหลักปฏิบัติเหมือนคนรุ่นเก่า หรือพูดง่ายๆก็คือ เด็กในยุคเจนเนอเรชั่น Y หรือถัดๆไปต่อไป จะให้ปฏิบัติหรือยึดตามแนทางคนเจนเนอเรชั่น X ก็คงจะไม่ได้ เพราะการใช้ชีวิตหรือวิถีชีวิตของพวกเขาก็เปลี่ยนไป ไม่ยึดติดกรอบหรือกฎกติกากันมากนัก ชอบทำงานอะไรที่ท้าทาย มากกว่าที่จะมีเรื่องของระเบียบแบบแผนกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้น่าเป็นห่วงทีเดียวว่า อนาคตแนวโน้มผู้สูงอายุอาจจะเป็นภาระในเรื่องของการพึ่งพารัฐสวัสดิการหรือไม่ต้องพึ่งพา ก็ยังไม่รู้ได้ ล่าสุดได้อ่านข่าวเจอเรื่องที่ทางกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ออกมาแสดงความเป็นห่วงสำหรับประเทศไทยที่เริ่มเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ เนื่องจากทางองค์การอนามัยโลกมีการประเมินว่า ในปี2583 ประเทศไทยจะมีจำนวนผู้สูงอายุมากที่สุดในโลก โดยมีปัญหาที่รัฐจะต้องแก้ไขเวลานี้ก็คือ ผู้ป่วยติดเตียงซึ่งมี 180,000 คนทั่วประเทศซึ่งโรงพยาบาลไม่รับ และต้องกลับไปอยู่บ้าน โดยเห็นว่าทางการมีแนวคิดจะใช้วิธีการปรับสภาพแวดล้อมภายในบ้านของผู้ป่วยให้เหมาะสม โดยทางกรมกิจการผู้สูงอายุได้ร่วมกับสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.)ด้วยการสร้างโถนั่งยอง ราวจับเข้าห้องน้ำ ให้กับผู้ป่วยติดเตียงที่อยู่บ้านเพราะหากไม่มีเครื่องอำนวยความสะดวกนี้อาจทำให้มีอายุของผู้สูงอายุสั้นลง โดยกำลังอยู่ระหว่างการทยอยสร้างและปรับเปลี่ยนอุปกรณ์ให้กับบ้านผู้ป่วยเหล่านี้จำนวน 2,500 หลังทั่วประเทศ ฟังๆดูแล้วรู้สึกอนาถาทีเดียวสำหรับผู้สูงอายุที่ต้องเผชิญอยู่ในสภาพเช่นนี้ แม้ทุกวันนี้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะมีศูนย์ดูแลผู้สูงอายุทั้งหมด 887 แห่งทั่วประเทศ และมีแนวความคิดที่จะนำผู้ป่วยออกมาจากบ้านให้ได้ เพื่อนำมาทำกิจกรรมต่างๆ เช่น การฝึกอาชีพ การให้ผู้สูงอายุได้ผ่อนคลาย แต่ก็คงไม่เพียงพอรองรับกับผู้สูงอายุที่นับวันจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากติดปัญหาของงบประมาณที่จะมาทำโครงการกัน แต่ฟังดูจากแนวคิดที่ทาง พม.จะทำแล้ว ก็รู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วยอย่างยิ่งไม่ว่าจะเป็นประการแรกในเรื่องของการจ้างงานที่ผู้สูงอายุวัย 70 ปีขึ้นไปสามารถทำได้ ประการที่สองการสร้างบ้านผู้สูงอายุ ปีนี้จะไปสร้างที่บางละมุง 300 ยูนิต พื้นที่หลังละประมาณ 34-40 ตารางเมตร ราคาหลังละ 1 ล้านบาท ประการที่สามคือเรื่องการออม โดยมีความคิดจะให้ผู้สูงอายุออมเงินตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไป โดยรัฐจะสนับสนุนปีละ 1,300 บาท ซึ่งจะเป็นเงินที่เก็บไว้ใช้ในวัยเกษียณ และประการสุดท้ายคือสภาพแวดล้อม ต้องมีโรงเรียนผู้สูงอายุอยู่ใกล้บ้าน หาก พม.ทำโครงการเหล่านี้ออกมาได้เป็นรูปเป็นร่าง ก็คงจะเป็นอานิสงส์ผลบุญไม่น้อยทีเดียว ที่จะช่วยให้สภาพสังคมไทยที่จะเต็มไปด้วยผู้สูงอายุจำนวนมาก อยู่ในสังคมสูงอายุได้อย่างมีความหมายในชีวิต ไม่ต้องอยู่ในสภาพเป็นผู้ป่วยติดเตียงกันจำนวนเยอะๆ และอยู่อย่างในสภาพผู้ป่วยที่อนาถาและโรงพยาบาลไม่รับผู้ป่วยติดเตียงเหล่านี้กัน หากเป็นไปได้อยากให้หักเพิ่มจำนวนเงินที่ได้จากการเก็บภาษีบาปที่เก็บได้จากพวกเหล้า สุราหรือของมึนเมา รวมไปถึงสินค้าอาหารที่บั่นทอนสุขภาพ ควรจะมีการเจียดภาษีเหล่านี้เพิ่มขึ้นมาเพื่อนำมาอุดหนุนให้กระทรวงพัฒนาสังคมฯ นำมาดูแลผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะกรณีที่ภาครัฐจะสนับสนุนรายได้ 1,300 บาทต่อปีออมเงินตั้งแต่อายุ 45 ปีขึ้นไปนั้นยังน้อยไป และคงไม่พอเพียงกับการดำรงชีพของผู้สูงอายุได้อย่างแน่นอน เพราะไหนจะสภาพเงินเฟ้อทั้งในเรื่องของค่าครองชีพ อัตราเงินเฟ้อค่ารักษาพยาบาลในแต่ละปีที่มีผันแปรและเปลี่ยนแปลงทุกๆปี ทั้งอาหารการกินและยารักษาโรคและค่ารักษาพยาบาลย่อมจะถีบตัวสูงขึ้นไปมากทีเดียว ดังนั้นการอุดหนุนในรูปแบบของรัฐสวัสดิการผู้สูงอายุของภาครัฐควรจะถูกกำหนดปรับให้สอดคล้องกับความผันแปรและความเปลี่ยนแปลงของสภาพเศรษฐกิจไทยไปด้วย และทางที่ดี ควรจะมีการส่งเสริมทุกรูปแบบให้คนไทยเรารู้จักเก็บออมเพื่อบั้นปลายการเกษียณอายุทำงานกันเพิ่มมากๆขึ้น ไม่ว่าจะเป็นคนหนุ่มสาวที่ทำงานแล้ว มีการเก็บสะสมให้กับพ่อหรือแม่ไว้ดูแลชีวิตบั้นปลายก็ตาม ก็ควรจะได้รับการสนับสนุนจากภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการหักลดหย่อนภาษีหรือสิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่รัฐพึงให้ในรูปแบบต่างๆ ก็ตามรัฐบาลควรจะสนับสนุนจุดนี้กันให้มากๆ ไม่ใช่ไปเพิ่มหักลดหย่อนภาษีกันสะเปะสะปะ ส่งเสริมให้คนไทยเราไปลงทุนเล่นหุ้นหรือซื้อหน่วยลงทุนเก็งกำไรกันทั้งๆ ที่ควรจะส่งเสริมเรื่องของการออมเพื่อวัยเล่าเรียน การออมเพื่อวัยเกษียณ หรือการออมเพื่อรองรับบุพการีที่จะกลายเป็นผู้สูงอายุในวันข้างหน้า สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นการออมที่มูลค่าเพิ่มขึ้นในทางวัตถุและมีคุณค่าทางจิตใจ โดยเฉพาะคุณค่าในการดำรงชีวิตของมนุษย์ในทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งดีงาม ที่ภาครัฐไม่ควรจะมองข้ามเป็นอย่างยิ่งเพราะฉะนั้น คงจะขอฝากสิ่งต่างๆ เหล่านี้ไว้พิจารณาด้วยเถอะ จักเป็นบุญโขสำหรับพี่น้องประชาชนคนไทยทั้งระบบทีเดียว ขอบพระคุณยิ่ง จาก คนไม้ใกล้ฝั่ง เรียน คุณผู้ใช้นามแฝง "คนไม้ใกล้ฝั่ง" ขออนุญาตตอบจดหมายของคุณแทนนะครับ เชื่อว่า รัฐบาลคงไม่ได้นิ่งนอนใจกับการเตรียมการรองรับสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมอายุกันหรอกครับ เพราะนอกเหนือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฯที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้กันแล้ว ก็น่าจะมีหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกำลังดูแลหามาตรการรองรับเรื่องนี้กันอยู่ เพราะเรื่องของสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว ซึ่งคงไม่ใช่มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น แต่หลายๆประเทศก็เผชิญกับปัญหาเหล่านี้เช่นกัน และพยายามจะหาทางออกในการแก้ไขปัญหาเรื่องเหล่านี้กันอยู่ เพราะฉะนั้นก็คงจะต้องติดตามกันดูกันครับว่า ประเทศไทยเราจะขับเคลื่อนดูแลผู้สูงอายุกันออกมาในทิศทางใดต่อไป เอาเป็นว่า ผมนำจดหมายที่คุณเขียนแสดงความคิดเห็นเข้ามาฉบับนี้มาลงให้ก็แล้วกันนะครับ เผื่อจะเป็นประโยชน์และเป็นเสียงสะท้อนไปถึงภาครัฐในอีกแง่มุมหนึ่ง ด้วยรักและนับถือ เจริญชัย อุดมพาณิชวงศ์ "เชื่อว่า รัฐบาลคงไม่ได้นิ่งนอนใจกับการเตรียมการรองรับสังคมไทยที่กำลังก้าวสู่สังคมอายุกันหรอกครับ เพราะนอกเหนือจากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ฯที่ขับเคลื่อนเรื่องนี้กันแล้ว ก็น่าจะมีหน่วยงานต่างๆที่เกี่ยวข้องกำลังดูแลหามาตรการรองรับเรื่องนี้กันอยู่ เพราะเรื่องของสังคมไทยที่กำลังเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเป็นปัญหาใหญ่ทีเดียว ซึ่งคงไม่ใช่มีเพียงประเทศไทยเท่านั้น แต่หลายๆประเทศก็เผชิญกับปัญหาเหล่านี้เช่นกัน"