ภายในเดือนกรกฎาคมนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยืนยันว่า การจัดตั้งรัฐบาลใหม่จะแล้วเสร็จในห้วงเวลาดังกล่าว และจะมีพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณตนกลางเดือนกรกฎาคมนี้ ซึ่งถือเป็นการเริ่มต้นการทำงานของรัฐบาลอย่างสมบูรณ์
การจัดตั้งรัฐบาลครั้งนี้ใช้เวลานาน และล่าช้ากว่าทุกครั้งที่ผ่านมา โดยน่าจะยาวนานที่สุดสำหรับประเทศ
ไทย ปัญหาคือความล่าช้าที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากระบวนการหรือขั้นตอนใดๆ หากแต่เกิดจากปัญหาการต่อรองตำแหน่ง และชิงไหวชิงพริบทางการเมือง ล่าสุดเพิ่งมีข่าวความขัดแย้งรุนแรงทั้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจนพรรคแทบแตก
ถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรี ต้องออกสารขอโทษประชาชน ต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในพรรคแกนนำรัฐบาลซึ่งไม่เคยปรากฎมาก่อน สะท้อนถึงความสำคัญเร่งด่วน และต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน ที่มีต่อตัวนายกรัฐมนตรี ในการใช้ดุลพินิจแต่งตั้งรัฐมนตรี ที่ไม่อยู่ภายใต้การครอบงำหรืออิทธิพลทางการเมืองจากกลุ่มต่างๆภายในพรรค
โดย นายกรัฐมนตรีได้ย้ำว่า สิ่งที่กำลังดำเนินการอยู่นั้น เป็นก้าวแรกของการปฏิรูปการเมือง เพื่อไม่ต้องกลับไปแก้ไขด้วยวิธีการแบบเดิมที่ไม่มีใครอยากให้เกิด ซึ่งทำให้มีการตีความไปถึงการส่งสัญญาณรัฐประหารตัวเอง
ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ที่เกิดขึ้น ท้าทายต่อภาวะผู้นำของพล.อ.ประยุทธ์ ที่ต้องบริการจัดการการเมืองภายในให้ได้ก่อน เนื่องจากยังต้องเผชิญกับการตรวจสอบการทำงานจากฝ่ายค้าน และสังคม
เรื่องการแย่งตำแหน่ง แม้จะเป็นเรื่องธรรมดาในการจัดสรรตำแหน่งรัฐมนตรีในทุกรัฐบาล หากแต่ความรุนแรงและอำนาจต่อรองของกลุ่มการเมืองต่างๆ ที่สูงกว่าปกตินั้น ก็เนื่องมาจากคะแนนเสียงสนับสนุนรัฐบาลไม่มีเสถียรภาพ หรือรัฐบาลเสียงปริ่มนำ เกินกึ่งหนึ่งมาไม่มาก ทำให้พรรคการเมือง และกลุ่มการเมืองต่างๆ มีอำนาจในการเรียกร้องต่อรองสูง
ในขณะที่เมื่อเปิดรัฐธรรมนูญ 2560 จะพบว่ามีบทบัญญัติว่าด้วยการปฏิรูปประเทศ ซึ่งไม่เคยบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญฉบับใดมาก่อน โดยกําหนดให้มีการดําเนินการปฏิรูปประเทศใน 7 ด้าน ได้แก่ ด้านการเมือง ด้านการบริหารราชการแผ่นดิน ด้านกฎหมาย ด้านกระบวนการยุติธรรม ด้านการศึกษา ด้านเศรษฐกิจ และด้านอื่น ๆ
โดยในด้านการเมือง กำหนดให้มีการดําเนินการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองโดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการดําเนิน กิจกรรมทางการเมือง การตรวจสอบการใช้อํานาจรัฐ ให้พรรคการเมืองดําเนินกิจกรรมโดยเปิดเผยและ ตรวจสอบได้เพื่อให้พรรคการเมืองพัฒนาเป็นสถาบันการเมืองของประชาชน ให้ผู้ดํารงตําแหน่งทางการเมือง ต้องปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตและรับผิดชอบต่อประชาชน และให้มีกลไกแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง ทางการเมืองโดยสันติวิธี
ขณะนี้ผ่านมาปีเศษภายใต้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศการเมือง การแก่งแย่งตำแหน่งรัฐมนตรี อีกทั้งการใช้ความรุนแรง ยั่วยุปลกระดมแบ่งแยกประชาชน ทำให้ดูเหมือนไปเหมือนในอดีตคือการเมืองน้ำเน่า ถึงเวลาแล้วหรือยังที่แต่ละภาคส่วนจะต้องมาทบทวนบทบาทของตนเองที่มีต่อการปฏิรูปการเมือง ภายใต้บทบัญญัติในรัฐธรรมนูญ