รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์
มหาวิทยาลัยสวนดุสิต
ณ วันนี้ “ข่าวการเมือง” ถือเป็นเรื่องที่อยู่ในความสนใจของประชาชน เพราะการเมืองเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับ “นโยบาย” อันเป็น “หัวใจหลัก” ของการขับเคลื่อน เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา รวมทั้งสวัสดิการในด้านต่างๆ ดังนั้น การเมืองจึงเปรียบเสมือนเป็น “ยาดำ” ที่แทรกซึมไปในทุกภาคส่วนของสังคม...เมื่อเป็นเช่นนั้นประชาชนให้ความสนใจการเมืองก็คงไม่ใช่เรื่องแปลก
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาจาก “ข่าวการเมือง” ภาพสะท้อน “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” คงต้องยอมรับว่าประเด็นการเมือง กลายเป็นเรื่องที่สร้างความหนักอกหนักใจ จนอาจทำให้คนในสังคมไทยจำนวนไม่น้อย เกิดภาวะเครียดจากการเมืองเป็นปัญหาทางสุขภาพจิต โดยเป็นปฏิกิริยาทางอารมณ์และจิตใจของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง มีความสนใจประเด็นทางการเมือง และติดตามสถานการณ์ หรือที่เอนเอียงไปฝั่งใดฝั่งหนึ่ง จนทำให้มีอาการทางกาย จิตใจ มีภาวะผิดปกติด้านสัมพันธภาพกับผู้อื่น เป็นต้น
นอกจากนี้ยังอาจมีความวิตกกังวลต่อเหตุการณ์บ้านเมืองในอนาคต (Anticipatory Anxiety) เช่น กลัวว่าจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงอันเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง โดยมีความวิตกกังวลอย่างห้ามตัวเองไม่ได้ บ้างก็มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดเหตุนั้นเหตุนี้ จากการติดตามข่าวสารทางการเมืองอย่างเกาะติด โดยไม่สนว่าข้อมูลที่ได้รับมาจะถูกต้องหรือได้รับการกลั่นกรองมาอย่างดีหรือไม่
แล้วจะทำอย่างไร? ให้คนไทยคลายกังวลจากภาวะเครียดจากการเมือง แนวทางเหล่านี้ น่าจะพอทำให้คลายเครียดจากสถานการณ์การเมือง โดยใช้วิธีต่างๆ เช่น จำกัดเวลาในการติดตามข่าว เช่น ลดเวลาเสพข่าวทางการเมืองให้ไม่เกิน 1 ชั่วโมงต่อวัน เพื่อไม่ให้เกิดความกดดันและความเครียดสะสม ควรใช้วิจารณญาณในการเสพข่าวทุกชนิด โดยฟังข้อมูลรอบ ๆ ด้าน หลาย ๆ แหล่ง หันเหความสนใจไปเรื่อง อื่นบ้าง ออกกำลังกาย เพื่อลดความเครียด หรือแม้แต่การฝึกสติ สมาธิ และฝึกให้ตนเองคิดบวก
การคิดบวกเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้ตัวเองมีความสุข โดยที่การคิดบวกนั้นไม่ใช่การคิดหาคำตอบว่าอะไรถูกหรือผิด แต่เป็นการคิดเพื่อให้เราได้เข้าใจในสิ่งที่กำลังเป็นไป หลายคนเข้าใจว่าการคิดบวกต้องอาศัยหลักการทางจิตวิทยาเข้าช่วย แต่ความจริงแล้วตัวเราเองก็สามารถเปลี่ยนตัวเองให้กลายเป็นคนคิดบวกได้ตลอดเวลา ตัวอย่างของ “การคิดบวกจากสถานการณ์การเมือง” ในกรณี “การแย่งชิงโควตารัฐมนตรี” นั้น หากคิดเชิงบวก อาจมองได้ว่าเป็นการแสดงความตั้งใจจริง และการกล้าอาสาที่จะรับผิดชอบทำงาน เพื่อชาติบ้านเมืองของนักการเมืองต่างๆ เพียงเท่านั้น
ส่วน “การอภิปรายโหวตนายกรัฐมนตรี” ก็สามารถมองได้ว่า เป็นภาพสะท้อนการหวนคืนสู่การเป็นระบอบประชาธิปไตยที่แบบเต็มตัว เพราะเปิดโอกาสให้สามารถแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งหากไม่พูด ไม่วิจารณ์ ก็แสดงว่าไม่มีวิญญาณของประชาธิปไตย จึงทำให้นักการเมืองต้องพูด...ต้องแสดงความคิดเห็น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าการพูด แสดงความคิดเห็น จะเป็นการแสดงออกตามระบอบประชาธิปไตยที่ทำให้เกิดประโยชน์ต่อการพัฒนาประเทศ แต่หากผู้พูด พูดโดยไม่ฟัง ไม่ไตร่ตรองคำพูด พูดโดยไม่มีหลักฐาน ไม่มีข้อมูลที่ชัดเจน การวิพากษ์วิจารณ์ก็คงยากที่จะเป็นสิ่งที่สร้างสรรค์ ในทางตรงข้ามกันคำพูดดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่ทำลายกำลังใจของบุคคลที่ตั้งใจทำงานเพื่อชาติ เพื่อแผ่นดินอย่างแท้จริง และอาจเป็นสิ่งที่กลับไปทำลายตัวผู้พูด เข้าทำนอง “ปลาหมอตายเพราะปาก” หรือ “ปากพาจน” และเกิดผลเสียทั้งต่อตนเอง สังคม และประเทศชาติมากกว่าคนทั่วไป
ขณะที่ “การเลือกตั้ง เมื่อวันที่ 24 มี.ค. 62” หากมองแบบไม่สนใจกระแสข่าวเชิงลบ ก็คงต้องยอมรับว่า การเลือกตั้ง เป็นภาพสะท้อนความเป็นประชาธิปไตย เนื่องจากเป็นกระบวนการที่ให้ประชาชนได้ใช้สิทธิทางการเมืองในการลงคะแนนเลือกตัวแทนของตนเข้าไปทำหน้าที่บริหารประเทศ ตามแนวทางที่กล่าวว่า ประชาธิปไตย คือ “การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน”
นี่คือ การมองในมิติเชิงบวกเกี่ยวกับสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งแม้จะเป็นการมองที่อาจถูกเหน็บแนมว่า โลกสวย...แต่ก็น่าจะทำให้สบายใจมากกว่ามองว่าการเมืองเป็นเรื่องของการแย่งชิงผลประโยชน์ เป็นไหนไหน?? (จริงไหม??) ซึ่งสาเหตุที่อยากให้ “คนไทย” มองในมิติดังกล่าว เพราะหากมองการเมือง หรือการดำเนินชีวิตในด้านอื่นๆ ในมิติเชิงลบแล้ว ก็จะทำให้การพบเจอกับการมีสุขภาวะ (Well Being) ที่สมบูรณ์ทั้งทางกาย จิตใจ สังคม และปัญญา เกิดขึ้นได้ยาก
เอาแค่เรื่องง่าย เช่น จากการสำรวจของ “สวนดุสิตโพล” ที่พบว่า ประชาชน ส่วนใหญ่ ร้อยละ73.65 คิดว่า “รัฐบาลใหม่” จะอยู่ไม่ครบวาระ โดยคาดว่า อยู่ไม่เกิน 1 ปี ร้อยละ34.07 ไม่เกิน 6 เดือน ร้อยละ 20.02 ไม่เกิน 2 ปี ร้อยละ 12.95 และไม่เกิน 1 ปีครึ่ง ร้อยละ 6.61 เพราะเป็นรัฐบาลปริ่มน้ำ มีเสียงไม่มากเพียงพอ ถูกคัดค้าน ทำงานรูปแบบเดิมๆ สถานการณ์บ้านเมือง ไม่มีเสถียรภาพที่แน่นอน ฯลฯ
ผลการสำรวจดังกล่าว สะท้อนให้เห็นว่า คนไทย มีความวิตกกังวลเรื่องการอยู่ไม่ครบวาระของรัฐบาลเป็นอย่างมาก ซึ่งแม้เรื่องดังกล่าวจะเป็นสิ่งที่น่าวิตกกังวล แต่หากกังวลจนเป็นทุกข์ จนตอกย้ำ จมอยู่กับความทุกข์ มองประเทศ สังคม รวมถึงการเมืองไทยในเชิงลบแล้ว
บทสรุปสุดท้ายของการคิดเชิงลบ คงหนีไม่พ้นการมีชีวิตอยู่กับเรื่อง ลบ...ลบ ซึ่งจะทำให้ “ชีวิตติดลบ” แบบไม่มีที่สิ้นสุด..!! ถ้าจะอยู่แบบไม่เครียดในสถานการณ์ที่เต็มไปด้วย “ข่าวการเมือง” ภาพสะท้อน “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ” คงทำได้เพียงแค่การ “คิดบวก” ... “ยิ้มสู้” (แม้จะการยิ้มทั้ง “น้ำตา”) ก็ตาม..!!