ตราบใดที่ความชัดเจนยังไม่ปรากฎ โอกาสที่จะเกิด “ข่าวลือ”เพื่อลวงล่อ หลอก ให้ฝั่งตรงข้าม มึนงง วุ่นวาย จะยิ่งดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด อย่างที่เห็น !พรรคประชาธิปัตย์ มีมติเลือกหัวหน้าพรรค-คณะกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ เสร็จสิ้นไปเรียบร้อยแล้ว แต่ยังไม่มี “มติ” ว่าพรรคจะประกาศจุดยืนทางการเมืองอย่างไร ล่าสุด “จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนใหม่หมาดๆ ชี้แจงต่อสื่อว่า ทิศทางการเมืองจะเป็นอย่างไร ต้องรอมติจากที่ประชุมคณะกรรมการบริหารพรรค คาดว่าจะได้คำตอบก่อนวันที่ 22 พ.ค. ในวันเดียวกัน ทุกความสนใจยังพุ่งไปยัง “อนุทิน ชาญวีรกูล”หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย หลังจากที่เจ้าตัวโพสต์ข้อความสร้างความคลุมเครือมาหลายครั้งหลายครา แต่กลับไม่มีคำตอบว่าภูมิใจไทย 51 ที่นั่งจะเลือกไปร่วมสนับสนุน พรรคพลังประชารัฐ หรือขั้วพรรคเพื่อไทย ที่บัดนี้แบเบอร์ ประเคน “เก้าอี้ใหญ่” ให้ไม่อั้น เพราะเพื่อไทยขออย่างเดียว นั่นคือการกำจัด “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ออกไปให้ได้ก่อน ส่วนในปีกพรรคฝ่ายประชาธิปไตย จะส่งใครขึ้นเป็นนายกฯคนที่ 30 ยังไม่สำคัญเท่า ! ข้อความที่มีการส่งต่อกันทางแอพพลิเคชั่นไลน์ ระบุว่า “ล็อกถล่มทลาย อภิมหาฟ้าสั่ง ประชาธิปัตย์ ภูมิใจไทย เปลี่ยนใจนาทีสุดท้ายร่วมเพื่อไทย อนาคตใหม่ จัดตั้งรัฐบาล +60 สว. รวม 420 เสียง บรรญัติ ประธานสภา อนุทินนายก เย็นนี้ พรรคร่วมจะแถลงข่าว” กลายเป็นเรื่องโจ๊ก ทันทีเมื่ออนุทิน ส่งข้อความแจ้งสื่อว่า “บร้า” หมายความว่า ไม่เป็นความจริง แต่กว่าที่ความจริงจะปรากฎ พบว่าตลอดทั้งวัน สื่อแทบทุกสำนัก แกนนำพรรคการเมืองทั้งที่มีชื่อเกี่ยวข้องไปจนถึง ฝั่งตรงข้าม พากันตรวจสอบที่มาที่ไปของข่าวกันตลอดทั้งวันก่อนที่จะชัดแจ้งว่า “ไม่เป็นความจริง” ทว่าสิ่งที่สะท้อนออกมาจากปรากฎการณ์ “ข่าวลือผ่านไลน์” คือการช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบอันเกิดจาก ความชัดเจนในการจับขั้วกันตั้งรัฐบาล รวมทั้งที่น่าสนใจไปกว่านั้น นี่คือการตอกย้ำความเคลื่อนไหวทางการเมืองหลังการเลือกตั้ง ที่ไม่มีความแตกต่างหรือเปลี่ยนแปลงไป ไม่ว่าจะกี่ยุค กี่สมัยที่ผ่านมาก็ตาม แสงสปอร์ตไลท์ จับไปยัง “2พรรค” คือประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย ชนิดที่เรียกว่าตาไม่กระพริบ ! เมื่อประชาธิปัตย์มี 52 เสียงในมือ และ ภูมิใจไทยมี 51 ส.ส. หากพรรคใดพรรคหนึ่ง ตัดสินใจเลือกเทน้ำหนักไปขั้วใด ขั้วหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นพรรคพลังประชารัฐ หรือ พรรคเพื่อไทย ตามที่ต่างฝ่าย ต่างอ้างถึง “ความเป็นไปได้” ขึ้นมาฟาดฟันกันในเวลานี้ ย่อมจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทันที หรือแม้แต่หากสองพรรค ทั้งภูมิใจไทยและประชาธิปัตย์ ผนึกกำลังเพื่อผุด “ขั้วที่3”ก็ย่อมสร้างความหวั่นไหวไม่น้อย แต่ทั้งนั้นทั้งนี้ ภายใต้ความวุ่นวาย ความคลุมเครือไม่ชัดเจนในทางใดทางหนึ่ง เช่นนี้ ปฏิบัติการด้านการข่าว ย่อมส่งผลในเชิงจิตวิทยา อย่างได้ผลที่สุด เพราะกว่าที่ความจริง จะปรากฎ แรงกระเพื่อม ก็สั่นไหวเป็นระลอก เขย่าขวัญกันเองอย่างที่เห็น !