ตามกำหนดการแล้ววันนี้ (25เม.ย.) "ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ" หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ จะเดินทางกลับถึงประเทศไทยในช่วงเย็น เรียกว่ารีบกลับมาก่อนกำหนดการเดิม เพื่อเผชิญหน้ากับ "สถานการณ์ที่ไม่คาดคิด"อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)มีมติแจ้งข้อกล่าวหาการถือครองหุ้นในธุรกิจ อันอาจขัดต่อคุณสมบัติสมัครรับเลือกตั้งส.ส. จากกระบวนการขั้นตอนจากนี้ เมื่อกกต.ได้ส่งหนังสือแจ้งข้อกล่าวหาไปยังธนาธร แล้วภายใน7วัน เจ้าตัวมีสิทธิที่จะให้ทนายความหรือบุคคลที่ไว้ใจได้ เข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงพยานหลักฐาน แก้ข้อกล่าวหา และมีสิทธิให้ทนายความหรือบุคคลที่ไว้วางใจเข้าร่วมฟังการชี้แจงแสดงหลักฐานแก้ข้อกล่าวหาได้ เมื่อไล่เรียงระยะเวลา จะไปครบเอาวันที่ 1 พ.ค. ในระหว่างการต่อสู้ทางคดี ยังคงดำเนินไปอย่างเข้มข้น ธนาธร และปิยะบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ ที่ออกมาแก้ต่างชนิดรายวัน ทำหน้าที่ "พิทักษ์" ธนาธร หัวหน้าพรรคให้สามารถประคองตัวอยู่จนถึงวันที่ได้มีโอกาสเดินเข้าสู่สภาผู้แทนราษฎร ให้ได้นั้น ในอีกด้านหนึ่งในฐานะ "ผู้นำ"ของพรรคการเมืองที่มีกระแสโดดเด่น มาแรงแซงทุกทางโค้ง สามารถกวาดทั้งแต้มและกุมกระแสของ "คนรุ่นใหม่" ชนิดที่ต้องยอมรับว่าพรรคการเมืองอื่นๆยังทำไม่ได้ ไม่เช่นนั้นพรรคอนาคตใหม่คงไม่ได้คะแนนเสียง จากประชาชนเทให้มากกว่า 6ล้านคะแนน เรียกว่า "กระแส" ของพรรคอนาคตใหม่นั้นไม่ธรรมดา แต่เมื่อเวลานี้ หัวหน้าพรรค และเลขาฯพรรค ต่างอยู่ในสภาพที่ "ติดหล่ม" พัวพันกับคดีความ ด้วยกันทั้งสองคน แน่นอนว่าการสร้างความเชื่อมั่น และปลุกความไว้ใจ เพื่อ "ตรึงกระแส" จากคนรุ่นใหม่ ในสังคมให้หันมาจับจ้องเพื่อเป็น "เกราะกำบัง" ในยามที่กำลังเจอกับมรสุม จึงเป็นบทบาทและภารกิจที่แกนนำพรรคอนาคตใหม่ ต้องพยายามรักษารังวัดเอาไว้ให้ได้มากที่สุด ! หากอนาคตใหม่ เป็น "ฝ่ายตั้งรับ" โดยไม่ "รุกกลับ" เห็นทีจะมีแต่ถูกบีบและล้อมกรอบ ยิ่งในยามที่การแข่งขันกันตั้งรัฐบาล ระหว่าง "พรรคเพื่อไทย" กับ "พรรคพลังประชารัฐ" กันอย่างดุเดือด โดยที่พรรคเพื่อไทยก็ฝากความหวังเอาไว้กับ พรรคอนาคตใหม่ที่มีส.ส.30 ที่นั่ง ซึ่งถือว่าเป็นน้ำเป็นเนื้อมากสำหรับพรรคเพื่อไทยที่จะใช้ต่อกรกับฝ่ายกองหนุน คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) อย่างชัดเจน แต่ในระหว่างที่ทั้งธนาธรและปิยะบุตร กำลังพัวพันกับคดีความอยู่นั้น โอกาสที่จะถูก "ฝ่ายตรงข้าม" โจมตีด้วย "ข่าวลือข่าวลวง"จนเกิดความระส่ำระสายขึ้นภายในพรรค ยิ่งมีความเป็นไปได้สูง อีกทั้งยังสุ่มเสี่ยงที่จะทำให้ บรรดา "ว่าที่ส.ส." ที่จ่อคิวเข้าสภาฯ ต้องตัดสินใจว่า จะยอมหันไปเข้าร่วมรัฐบาลกับ ซีกของพรรคพลังประชารัฐ หรือไม่ แน่นอนว่า ปัญหาข้อนี้ แกนนำพรรคอนาคตใหม่เองต่างรู้และหวั่นไหวอยู่ไม่น้อย เพราะอย่าลืมว่าอะไรๆก็เกิดขึ้นได้ โดยเฉพาะปัญหา "งูเห่า" จากฝ่ายพรรคแนวร่วมประชาธิปไตย ซึ่งก่อนหน้านี้ได้เคยมีการจับตามองกันมาโดยตลอดว่างูเห่าอาจจะหลุดออกมาจากพรรคเพื่อไทย ทว่าวันนี้ เมื่อพรรคอนาคตใหม่กำลังเกิดวิกฤติ ทั้งหัวหน้าและเลขาฯพรรค อยู่ในอาการร่อแร่ อาจทำให้ "ง่ายต่อการตัดสินใจ" ของว่าที่ส.ส. ที่ย่อมมองหาโอกาสเติบโตและก้าวหน้า บนเส้นทางการเมือง แทนที่จะอยู่รอไปจนถึงวันที่ "ข่าวลือ" เรื่องการยุบพรรค กลายเป็นเรื่องจริง เพราะเมื่อถึงเวลานั้น จากงูเห่าที่มีราคา ก็อาจจะกลายเป็น "งูดิน" สูญเสียอำนาจการต่อรองไปโดยปริยาย !