ลักษณะของนักการเมืองชั้นยอดนั้นเป็นอย่างไร ในทัศนะของพระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ)และทหารที่เข้ามาสู่การเมืองในวันนี้ แท้จริงแล้วทหารก็เป็นนักการเมืองอยู่เดิมนั้น เป็นอย่างไร วันนี้ขอถอดความต่อเนื่องจากปาฐกถาของท่าน ทางวิทยุฯโทรทัศน์ ชุด การเมือง “การเมืองเรื่องของมนุษย์” เมื่อวันที่ 18 ธันวาคมพ.ศ.2533 จากหอจดหมายเหตุพุทธทาส มีความดังต่อไปนี้
“สัตว์สังคม ก็เป็นที่ตั้งแห่งการเมือง เศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยแก่การเมือง มันจึงต้องเป็นไปในตัว พร้อมกันไปในตัว ทีนี้มันจะจบลงเมื่อมีความสงบ ที่จะเรียกว่าทุกคนเป็นนักการเมือง อย่าไปเรียกว่าข้าราชการทหาร ข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำเลย แม้แต่ทหารก็เป็นนักการเมือง คือแก้ปัญหาของการเมืองทางนอกรอบที่คนที่อยู่ข้างในเมืองทำไม่ได้ ทุกคนก็เป็นนักการเมือง ยิ่งไปกว่านั้นมันจะลงไปถึงว่าอุปกรณ์นานาชนิด เมื่อเรามีสุนัข ที่มันจะช่วยเพื่อความสงบราบคาบ มันก็เป็นนักการเมืองโดยอ้อม แม้แต่สัตว์ ตัวมันเองก็ต้องการอยู่โดยสงบ โดยไม่มีใครมารบกวน ที่ต้องพูดขึ้นใหม่ว่า ทุกชีวิตมันเป็นนักการเมืองอยู่โดยธรรมชาติ โดยสัญชาตญาณที่มันมีอยู่ในจิตใจ
เคยไปถามพระเจ้าหรือเปล่า พระเจ้าคืออะไร พระเจ้าที่เป็นบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล ที่บนสวรรค์ ที่ไหนก็ตาม เคยไปถามรึเปล่า พระเจ้าชนิดหนึ่งคือกฎ ตัวกฎของธรรมชาติก็เป็นพระเจ้าอย่างหนึ่ง ไม่ใช่บุคคล พระเจ้ามี สองความหมาย คือพระเจ้าที่เป็นบุคคล มีความรู้สึกอย่างบุคคล อยู่ที่เมืองสวรรค์หรือเมืองที่ไหนก็ตาม เคยไปถามหรือเปล่า
เราเคยถามว่าการเมืองคืออะไร หรือว่า จะระงับวิกฤตการณ์ทั้งหลายได้อย่างไร จะต้องใช้ความเห็นแก่ตัว หรือไม่ต้องใช้ความเห็นแก่ตัว หรือความเห็นแก่ตัวมันเป็นอุปสรรคของการเมือง ทำอย่างไรจึงจะมีสันติภาพ ดูจะไม่เคยถามกันอย่างนี้ ให้กิเลศของตัวเป็นผู้บัญชาทั้งนั้นเลย กฎของธรรมชาติก็ไม่ศึกษาว่าให้ได้มีสันติภาพกันอย่างไร ถ้าไปถามก็คงจะถามว่า ทำอย่างไรจึงจะได้เปรียบ แก่ฝ่ายตรงกันข้าม จะไปถามพระเจ้าก็คงจะถามกันอย่างนั้นเสียมากกว่า ไม่ได้ถามว่าจะจัดให้มีสันติภาพกันอย่างไร
เอาละเรามาดูชนิดของบุคคลที่เรียกว่า ข้าราชการ ข้าราชการคือผู้ที่ทำงานของพระราชา ให้ประชาชนร้องออกมาว่าพอใจ พอใจ พอใจ ใครทำหน้าที่ให้ประชาชนร้องออกมาว่าพอใจ คนนั้นเป็นพระราชา ผู้ที่ร่วมมือทั้งหมด ก็คือ ข้าราชการ คือผู้ทำงานของพระราชา ทีนี้เราเห็นแต่ข้าราชการ กันในความหมายต่างๆ กัน จนพูดว่าข้าราชการการเมือง ข้าราชการประจำ ข้าราชการการเมืองคือผู้ออกนโยบายและก็ควบคุมให้เป็นไปตามนโยบาย ข้าราชการประจำก็ปฏิบัติตามนโยบาย เป็นนักการเมืองฝ่ายรับคำสั่ง นักการเมืองฝ่ายออกคำสั่ง นักการเมืองรับคำสั่ง และก็มีนักการเมืองฝ่ายที่จะช่วย ช่วยให้ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นไปตามนั้น เป็นหน้าที่กัน เป็นไปตามหน้าที่
ดังนั้นต้องไม่มีการก้าวก่าย ถ้ามีการก้าวก่ายกัน มันต้องใช้คำว่าเสือกกะโหลก ภาษาหยาบคายของเด็กๆ ถ้ามีการก้าวก่ายที่ไหน มันก็เป็นการเสือกกะโหลก มีลักษณะเป็นสากเที่ยวทิ่ม เที่ยวตำทำให้มันเกิดความโกลาหล วุ่นวาย ถ้าทำอย่างก้าวก่าย มันก็สูญเสียความเป็นนักการเมือง ไม่ได้เป็นทั้งหมด
ดูกันให้ละเอียดสักหน่อยว่า สุนัขปากร้ายเป็นนักการเมืองไม่ได้ สุนัขปากร้ายเป็นนักการเมืองไม่ได้ สุนัขปากร้าย ทั้งเห่า ทั้งกัด กัดแล้วไม่วาง เป็นนักการเมืองไมได้ มันไม่มีอะไรจะยุติลงได้ บ่อนก็แตกหมด มันต้องเป็นสุนัขเสียแผล เลียทั้งหมดไม่ว่าฝ่ายไหน เพื่อให้เรื่องมันหาย เหมือนกองกาชาดในยามสงคราม กองกาชาดต้องช่วยเหลือพยาบาลหมดทั้งสองฝ่าย ไม่ว่าฝ่ายตัวเองหรือฝ่ายข้าศึกศัตรู นี่มันต้องมี ลักษณะสุนัขเลียแผลอย่างนี้ ไม่ใช่สุนัขปากร้าย ทั้งเห่า ทั้งกัด กัดแล้วไม่ปล่อย อย่างนี้มันก็ มันเป็นการทำลาย ไม่ใช่เป็นการสร้างสันติภาพ โดยไม่ต้องใช้อาชญา
ทีนี้อยากให้มองไปทางพระพุทธองค์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ้าง พระพุทธองค์ มีอะไรเกี่ยวกับนักการเมือง อาตมาขอยืนยันว่า พระพุทธองค์ก็เป็นนักการเมือง และเป็นนักการเมืองชั้นสุดยอด เพราะว่าพระองค์ทรงมุ่งหมาย ทรงพยายามอย่างยิ่ง ที่จะจัดโลก ทั้งมนุษย์โลก เทวโลก มารโลก พรหมโลก นรก สวรรค์ ทึกอย่างให้มีความผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา
นี่เป็นพระพุทธประสงค์ เป็นความพยายามของพระพุทธองค์ จึงเห็นว่าเป็นนักการเมืองชั้นยอด มีลักษณะพิเศษสูงสุดอย่างหนึ่งคือ ไม่มีการขัดแย้ง การขัดแย้งนี้เรียกเป็นภาษาบาลีว่า อุปททวะ อุปททวะ เรียกเป็นภาษาบาลีว่า อุปาทวะ พระพทุธองค์ได้ตรัสว่า ตถาคตไม่กล่าวคำขัดแย้ง ที่ในโลกนี้แก่ใครๆ ในโลกนี้ มนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลก หมูสัตว์ พร้อมทั้งสมณะ พราหมณ์ ทั้งทวดา และมนุษย์ ตถาคตไม่กล่าวคำขัดแย้ง นี่พวกเธอทั้งหลาย ตรัสกับสาวก ว่านี่พวกเธอทั้งหลาย ก็จะไม่กล่าวคำขัดแย้ง กล่าวแต่สิ่งที่ควรจะกล่าว แสดงความประสงค์ของตัวออกไปชัดแจ้งแล้วก็ ไม่ต้องมีการขัดแย้ง”