หากไม่มีอะไรผิดพลาด คาดว่าจะสามารถเปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ในเดือนพฤษภาคมนี้ แต่ก่อนจะเปิดสภานั้น มีธรรมสำหรับนักการเมือง โดยถอดความจากปาฐกถาธรรมของ พระธรรมโกศาจารย์ (ท่านพุทธทาสภิกขุ)ทางวิทยุฯโทรทัศน์ ชุด การเมือง “การเมืองเรื่องของมนุษย์” เมื่อวันที่ 18 ธันวาคม พ.ศ.2533 จากหอจดหมายเหตุพุทธทาส ที่เนื้อหายังคงทันสมัย มีความดังนี้
“มีผู้ขอให้ช่วยบรรยายเรื่องการเมือง ที่จริงไม่ต้องขอ หลวงพ่อ อาตตมาเองก็เป็นนักการเมือง แม้จะเป็นนักการเมืองที่ไม่มีใครรู้จักว่าเป็นนักการเมือง เพราะว่าทุกคนเป็นนักการเมือง เดี๋ยวจะว่าให้ฟังว่ามันเป็นกันอย่างไร ทุกคนเป็นนักการเมือง มีหัวข้อที่จะต้องทำความเข้าใจกันเสียก่อน ว่าอะไรเป็นอะไร สำหรับจะได้รู้จักสิ่งที่เรียกว่า การเมือง หรือนักการเมืองที่แท้จริง สิ่งที่เรียกว่าการเมืองคือ อะไร การเมืองคือการจัดคนจำนวนมากให้อยู่กันอย่างเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา การจัดให้คนเป็นอันมาก อยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา นี่คือความหมายของคำว่าการเมือง
นักการเมืองคืออะไร ก็คือผู้ที่ ต้องการให้เป็นเช่นนั้น และจัดพยายามให้เป็นเช่นนั้น ช่วยกันร่วมมือกันให้มันเป็นเช่นนั้น ทุกคนเป็นนักการเมือง ที่เป็นสัตว์การเมือง มนุษย์ทุกคนเป็นสัตว์การเมือง เพราะว่าเขาจะต้องมีหน้าที่จัดบ้านจัดเมือง ร่วมมือกันจัดบ้านจัดเมืองให้มีความผาสุกโดยไม่ต้องใช้อาชญา รวมทั้งเศรษฐกิจทั้งการสังคมด้วย ที่มันต่อเนื่องกันอยู่ คนทุกคนต้องรับผิดชอบ ในความเป็นเช่นนั้น แต่มันก็ยังมี สัตว์ หรือคนบางชนิดที่มั่นต่ำเกินไป จนไม่อาจจะเป็นนักการเมืองก็มี อันนี้ไว้พูดกันทีหลังดีกว่า
เอาพูดข้อที่ว่า การเมืองคือการจัดคนจำนวนมาก ให้อยู่กันเป็นผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา ใจความสำคัญ มันก็คือคำว่า การเมือง คือมันเป็นเรื่องการเมือง มันก็ต้องจัดในเมือง ไม่ใช่จัดในป่า ถ้าจัดในป่า มันก็เป็นของสัตว์ป่า ไม่ใช่ของคน มันเป็นการเมืองมันก็ต้องจัดในเมือง ต้องจัดในลักษณะที่ให้คนเป็นอันมาก หรือคนทั้งหมด มวลชนทั้งหมด มีสันติภาพ เพราะมันไม่มีอะไรจำเป็นยิ่งไปกว่านี้อีก ทีนี้การจัดต้องไม่ใช่อาชญา เพราะว่ามันเป็นคน ไม่ใช่เป็นสัตว์ อาชญาทุกชนิด ไม่ต้องหมายถึงอาวุธ ฆ่ากันตาย อาวุธ คือหอก ดาบ หอกดาบทิ่มแทงกันนี่ก็เรียกว่าอาชญา ก็ไม่ต้องใช้เหมือนกัน นี่แหละการเมืองเรื่องของคน จำนวนมาก ถ้าไม่จัดเพื่อคนจำนวนมาก ก็ไม่เรียกว่า การเมือง
อาตมาเข้าใจว่า ความหมายของคำว่า Politic มันมีความหมายอย่างนี้ คือคนเป็นอันมากมีความผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา ถ้าใครมาบอกอย่างไรก็ไม่เชื่อ ไอ้พวกกรีกโบราณฟื้นชีพขึ้นมาบอกว่าไม่ใช่อย่างนั้น ก็ไม่เชื่อ เพราะว่า คำว่า Politic ก็หมายถึงจัดคนหมู่มากทั้งหมดให้อยู่กันอย่างผาสุก โดยไม่ต้องใช้อาชญา นี่เรียกว่าการเมือง
ทุกๆคนมีส่วนจัดให้มันเป็นอย่างนั้น หน้าที่โดยตรงก็มี หน้าที่โดยอ้อมก็มี นักการเมืองโดยตรงก็ออกนโยบายมา ก็ควบคุมนโยบายมา คนนอกนั้นก็เป็นนักการเมืองผู้ทำตาม ทหารก็เป็นนักการเมือง ก็จะแก้ปัญหารอบนอกที่สุดความสามารถของคนในเมือง ก็เป็นนักการเมืองอยู่ดีไม่ยกเว้น สิ่งใดที่มันเป็นไปเพื่อสันติสุข สันติภาพ ก็ไปจัดมันเข้า ก็เป็นนักการเมือง มันเนื่องกันอยู่กับการเมืองก็เรียกว่านักการเมือง ถ้ามันต่ำเกินไป จนไม่มีความสามารถ หรือไม่มีความหมายที่จะจัดอะไรอย่างนี้ ขึ้นมาต่างหาก จึงจะเขี่ยออกไปว่ามันไม่ใช่นักการเมือง ไม่มีส่วนแห่งความเป็นนักการเมือง
ทุกคนเป็นนักการเมือง นี่คือข้อที่ขอยืนยัน ทีนี้ก็ขอยืนยันต่อไปว่าทุกคนเป็นนักการเมืองมาแต่ในท้องมารดา บ้าไหม ท่านลองคิดดูเอาเองว่าเป็นเรื่อง บ้าไหม อาตมามีเหตุผลที่จะพูดอย่างนั้น เพราะมันเป็นสิ่งจำเป็น ที่จะต้องเป็นอย่างนั้น เพราะว่ามันมีอยู่ในสัญชาติญาณที่มันเกิดเองโดยไม่ต้องมีใครสอน โดยสัญชาตญาณ ที่อยู่ในจิตในชีวิตของสัตว์ มันต้องการจะมีสันติภาพ มันดิ้นรนเพื่อจะมีสันติภาพ เมือ่เด็กอยู่ในท้อง ก็ต้องการสันติภาพไม่ต้องการการรบกวน เมื่อออกมาแล้ว มันก็ยังต้องการอยู่อย่างมีสันติภาพ ก็พยายามจัดทีที่อยู่อาศัย จัดสังคม จัดการกิน การอยู่อะไรต่างๆ มันก็ดิ้นรน ดิ้นรนต่อสู้จนกว่าจะพบจุดที่มันสงบ มันเป็นความมุ่งหมาย ของสิ่งที่เรียกว่าการเมือง
มันทำไปพร้อมกับการที่ว่ามันเป็นสัตว์สังคม เพราะสังคมมันเป็นที่ตั้งของการเมือง พร้อมกันไปกับการจัดเศรษฐกิจ เพราะว่าเศรษฐกิจมันช่วยให้การเมืองเป็นไปได้ เป็นอุปกรณ์ของการที่จะให้เกิดสันติภาพ มันก็เลยเป็นไปในตัว พร้อมกันไป เป็นเศรษฐกิจ เป็นการสังคม เป็นการพัฒนา มันรวมอยู่ในคำว่า สร้างสันติภาพ ให้เกิดสันติภาพดโดยไม่ต้องใช้อาชญา รวมความว่าดิ้นรน ๆ จนกว่าจะพบจุดที่มันสงบ สงบโดยไม่ต้องใช้อาชญา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง ไม่ใช่เรื่องของสัตว์ป่าที่มันจะกัดกัน”