ชัชวาลล์ คงอุดม เรียน คุณชัช เตาปูน คอลัมน์ตอบจดหมายที่นับถือ ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเราเห่อแหนกับค่านิยมของกับความเป็นนิกส์ หรือกระแสโลกาภิวัตน์กัน คนไทยเราต่างยินดีปรีดากับรัฐบาลที่ส่งเสริมการลงทุน อ้าแขนต้อนรับพวกโรงงานอุตสาหกรรมต่างๆ สารพัดทั่วโลกเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทยเรา โดยไม่ได้ใส่ใจดูแลในเรื่องของปัญหามลภาวะเป็นพิษทั้งที่เกิดบนผืนดิน ผิวน้ำ และอากาศกันเลย ซึ่งเป็นผลพลอยได้จากการขยายโรงงานอุตสาหกรรมกันจำนวนมาก มีการปล่อยน้ำเสีย สารเคมี กากสารพิษต่างๆ ออกมาทิ้งๆ ขว้างๆกัน โดยปราศจากการบริหารจัดการกำจัดกากขยะสารพิษเหล่านี้อย่างถูกต้อง หรือถูกวิธีกัน ยิ่งบ้านเราได้มีการกระจายอำนาจการปกครองสู่ท้องถิ่น ยิ่งทำให้การดูแลบริหารจัดการจากหน่วยงานที่ดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอ่อนแอหรืออ่อนกำลังลง เนื่องมาจากท้องถิ่นเริ่มจะเข้ามามีบทบาทสูงในการอนุญาตหรืออนุมัติใบอนุญาตประกอบการตั้งโรงงานกัน บางครั้งมีการทำประชาพิจารณ์ หรือซาวเสียงในเรื่องของผลกระทบสิ่งแวดล้อมต่อชุมชมในพื้นที่ ก็มีการลักลั่นไปเกณฑ์ผู้คนนอกพื้นที่มาลงชื่อเข้าร่วมจนท้ายสุดก็ผ่าน เดินหน้าโครงการผ่านไปได้ ซึ่งลักษณะเช่นนี้ยังปรากฏให้เห็นในพื้นที่หลายๆ จังหวัดที่โรงงานอุตสาหกรรมที่เข้าข่ายเสี่ยงต่อปัญหามลพิษเข้าไปตั้งหรือลงทุนตั้งโรงงานอุตสาหกรรมกัน เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์แล้วก็น่าตกใจ นายกองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) วังดาล อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรีให้สัมภาษณ์ข่าวว่า ชาวบ้านได้รับความเดือดร้อน เนื่องจากมีผู้ลักลอบปล่อยน้ำเสียลงทุ่งนาเป็นรอบที่ 3 โดยน้ำมีสีดำ กลิ่นเหม็นรุนแรงคล้ายกรดซัลฟุริกหรือกำมะถันทำให้เกิดมลพิษ จากเดิมพบเพียง3 หมู่บ้าน แต่ปัจจุบันน้ำเสียได้ขยายกินพื้นที่ทุ่งนาที่รอเก็บเกี่ยว 10 หมู่บ้าน พื้นที่กว่า 10,000 ไร่ ทำให้เมล็ดข้าวฝ่อ ลีบ รวมทั้งน้ำเสียได้ไหลเข้าไปแหล่งน้ำดิบซึ่งใช้สำหรับผลิตน้ำประปาของชาวบ้านอีกด้วย หรือแม้แต่ข่าวที่ลงหน้าหนังสือพิมพ์ช่วงเดือนเศษก่อนหน้านี้ ก็มีฝูงปลากระเบนบริเวณปากอ่าวแม่กลอง พื้นที่บ้านปากมาบ ต.บางแก้วอ.เมือง จ.สมุทรสงครามตายอย่างปริศนา จนมาเดือนที่แล้วก็พบซากปลากระเบนลอยติดกอต้นลำพู ปากคลองแควอ้อม ในพื้นที่หมู่ 5 ต.บางกุ้ง อ.บางคนที จ.สมุทรสาครเข้าอีก ซึ่งก็มีการพิสูจน์หาสาเหตุการตายของปลากระเบนกันอย่างจ้าละหวั่นว่า เกิดจากสาเหตุสารพิษโรงงานอุตสาหกรรมที่ปล่อยลงแม่น้ำแม่กลองหรือไม่ นี่เป็นเพียง 1-2 ตัวอย่างเท่านั้น ยังมีปลา และสัตว์น้ำ รวมถึงพืชผลทางการเกษตรอื่นๆ อีกมากมายในหลายต่อหลายจังหวัด ซึ่งปรากฏเป็นข่าวร้องเรียนเรื่อยมาตลอดว่า เกิดจากการปล่อยสารพิษของโรงงานโน้นโรงงานนี้บ้างซึ่งถ้าเป็นโรงงานขนาดเล็ก เมื่อถูกร้องเรียน ก็อาจถูกทางการลงโทษสั่งปิดได้ง่ายแต่หากเป็นโรงงานขนาดใหญ่ ค่อนข้างจะยุ่งยาก และมีปัญหาในการตรวจสอบซึ่งการจะสั่งปิดก็เป็นไปได้ค่อนข้างยากกัน จริงๆ แล้ว อยากให้ภาครัฐเข้าไปจัดระเบียบโรงงานอุตสาหกรรมในทุกจังหวัดเสียใหม่ โดยอาจจะเริ่มตั้งแต่จังหวัดที่มีโรงงานอุตสาหกรรมเยอะๆ อย่างเช่น แถวปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา หรือสมุทรสาคร สมุทรปราการ และสมุทรสงคราม ซึ่งจังหวัดเหล่านี้จะมีโรงงานอุตสาหกรรมตั้งอยู่กระจัด กระจาย ก็เยอะ ภาครัฐควรจะเข้าไปจัดระเบียบให้เหมือนกับใน กทม.ที่มีการจัดระเบียบพ่อค้าแม่ค้าหาบเร่แผงลอย โดยหากโรงงานไหนตั้งอยู่ในพื้นที่สีเขียว ก็ไม่ควรจะปล่อยให้มีการตั้งโรงงาน ควรให้มีการย้ายออกจากพื้นที่เสีย จากนั้นก็ควรจะมาเอกซเรย์ตรวจโรงงานเป็นรายๆ ไปว่า มีวิธีการกำจัดกากสารพิษ ฝุ่นละออง หรือสารเคมีอย่างถูกต้องได้มาตรฐานสากลหรือถูกกฎหมายหรือไม่ ตลอดจนมีการรั่วไหลของสารพิษจากโรงงานออกสู่แม่น้ำ ผืนดิน หรือทางอากาศหรือไม่ ซึ่งควรจะมีการตั้งคณะทำงานและจ้างอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญจากจุฬาฯ หรือสถาบันการศึกษาต่างๆ ทั้งในและต่างประเทศที่มีความเชื่อถือระดับสากลเข้ามาเป็นผู้ตรวจสอบอย่างเป็นระบบ โดยไม่ควรจะใช้หน่วยงานของรัฐเพียงฝ่ายเดียว แล้วเมื่อได้ผลตรวจสอบแล้ว แต่ละจังหวัดก็ควรจะต้องจัดทำแผนกู้วิกฤติโรงงานอุตสาหกรรมเป็นรายกรณีหรือรายกลุ่มแตกต่างตามอาการหรือตามสภาพความรุนแรงกันออกไป จากนั้นก็ทำการฟื้นฟูสิ่งแวดล้อมให้กลับคืนมาอย่างเร่งด่วน นี่เป็นภาพที่เชื่อว่าคนไทยทั้งประเทศอยากจะเห็นและได้เป็นของขวัญปีหน้าจากรัฐบาลนายกฯตู่กัน เพราะความเจริญจากโรงงานอุตสาหกรรม มาตั้งรกรากในเมืองไทย ใครๆ ก็ไม่รังเกียจ แต่ก็ควรจะอยู่กันได้กับพี่น้องประชาชน สิ่งแวดล้อม โดยไม่ระรานหรือทำลายกัน ถึงจะถูกต้อง เพราะถ้าตราบใด ปล่อยให้โรงงานอุตสาหกรรมเข้ามาขยายตั้งโรงงานกันมากๆ เข้า แต่ไม่ดูแลถึงเรื่องปัญหาสิ่งแวดล้อม การจำกัดกากของเสียหรือสารพิษ ทิ้งๆ ขว้างๆ ทำอย่างไรก็ได้ ก็คงจะไม่เป็นธรรมกับคนไทยที่อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินนี้มาตั้งแต่บรรพบุรุษ กันอย่างยิ่งครับ ขอบพระคุณอย่างยิ่งครับ คนพระสมุทรเจดีย เรียน คุณผู้ใช้นามปากกา "คนพระสมุทรเจดีย์" ขออนุญาตตอบจดหมายของคุณนะครับ เรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวครับ ซึ่งรัฐบาลควรจะให้ความสำคัญอย่างมากทีเดียวสำหรับการบริหารจัดการดูแลเพราะหาไม่แล้ว ขืนยังปล่อยให้มีการทิ้งๆขว้างๆหรือปล่อยสารพิษหรือสารเคมีที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการบำบัดอย่างถูกต้องกันมากๆเข้ากระทั่งพอกพูนเป็นดินพอกหางหมูกันมากขึ้นๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ครับสำหรับการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ้านเรา ก็คงจะทำได้ยากยิ่งๆ ขึ้นกันครับ ผมคงไม่ต้องแสดงความคิดเห็นอะไรเพิ่มเติมดีกว่าแล้วกันนะครับ เพียงแต่นำจดหมายของคุณคนพระสมุทรเจดีย์มาลงให้ในคอลัมน์ตอบจดหมายฉบับนี้ก็แล้วกันครับ ด้วยรักและนับถือ เจริญชัย อุดมพาณิชวงศ์ "เรื่องของปัญหาสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องใหญ่ทีเดียวครับซึ่งรัฐบาลควรจะให้ความสำคัญอย่างมากทีเดียวสำหรับการบริหารจัดการดูแลเพราะหาไม่แล้ว ขืนยังปล่อยให้มีการทิ้งๆ ขว้างๆ หรือปล่อยสารพิษหรือสารเคมีที่ไม่ได้รับการบริหารจัดการบำบัดอย่างถูกต้องกันมากๆ เข้ากระทั่งพอกพูนเป็นดินพอกหางหมูกันมากขึ้นๆ ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ครับสำหรับการแก้ไขสถานการณ์ปัญหาสิ่งแวดล้อมในบ้านเรา ก็คงจะทำได้ยากยิ่งๆ ขึ้น"