เสรี พงศ์พิศ/www.phongphit.com การตั้งคำถามเป็นศิลปะแห่งการเรียนรู้ การเรียนรู้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลง แต่คำถามก็มีทั้งดีและเลว ถามประเทืองปัญญาก็ได้ปัญญา ถามหาเรื่องก็อาจได้เรื่อง อย่างรายการสดทางช่อง 9 อสมท.เมื่อวันที่ 28 ก.พ. ที่นำนักศึกษา 100 คนที่จะเลือกตั้งเป็นครั้งแรกมาร่วมรายการ แล้วตั้งคำถาม เช่น เห็นด้วยหรือไม่ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ตัดสินใจไม่ร่วมดีเบต เห็นด้วยหรือไม่ที่ให้ ส.ว. 250 คน โหวตเลือกนายกรัฐมนตรี เห็นด้วยหรือไม่ เรื่องยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี จำเป็นสำหรับประเทศไทย (โดยที่ไม่ได้ถามเลยว่า มีกี่คนในห้องนั้นที่ได้อ่านและรู้ว่า ยุทธศาสตร์ที่ว่านั้นมีเนื้อหาสาระอะไรบ้าง) รวมไปถึงเห็นด้วยหรือไม่ ว่าประเทศไทยจะมีการปกครองแบบประชาธิปไตยเต็มใบหรือครึ่งใบ ก็ได้ ถ้าทำให้ปากท้องประชาชนดีขึ้น พบว่า “เกือบร้อยคน” ในห้องส่งไม่เห็นด้วย  จึงไม่แปลกที่มีปฏิกิริยาจากสังคม เพราะการทำรายการแบบนี้ก่อนการเลือกตั้งไม่กี่วันเป็นการถามนำที่มีอคติ ลำเอียง หรือถ้าจะให้แฟร์ ควรตั้งคำถามให้รอบด้านมากกว่านี้ เช่น เห็นด้วยหรือไม่ที่อดีต ผู้นำประเทศถูกดำเนินคดีแล้วหนีไปต่างประเทศ เห็นด้วยหรือไม่ที่ทำโครงการจำนำช้าวให้ประเทศชาติเสียหายหลายแสน เห็นด้วยหรือไม่ที่นักการเมืองโกงได้ ขอให้พัฒนาประเทศก็พอ ฯลฯ ถ้าทำโพลถามคนไทยไม่ว่าอายุเท่าไร อาชีพอะไร ทั่วประเทศว่า คุณเชื่อในศาสนาไหม เกือบทั้งร้อยจะเชื่อ แต่ถ้าถามว่าที่คุณบอกว่านับถือศาสนาพุทธ คุณถือศีล 5 ได้กี่ข้อ คุณไปวัด ทำบุญ คุณทำสมาธิ สวดมนต์หรือไม่ แล้วลองมาประเมินใหม่ว่านับถือศาสนาจริงหรือ ถามคนไทยสิว่า รักสันติหรือไม่ ทุกคนจะบอกรักสันติภาพ และชอบอ้างว่าประเทศนี้รักสันติ แต่บ้านเมืองนี้มีเหตุการณ์ที่น่าสลดหดหู่ที่ฆ่ากันตายมากมายอย่าง 14 ตุลา 6 ตุลา และที่ฆ่ากันตายเกือบทุกวันที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ รวมทั้งฆ่ากันตายทั่วประเทศที่เป็นข่าวและไม่เป็นข่าวอีกเท่าไร คำถามเลวอาจเป็นคำถามฉลาดก็ได้โง่ก็ได้ คำถามที่ฉลาดแต่โง่ก็มี คนถูกถามมักจะพยายามหาคำตอบที่มีในใจคนถาม เป็นคำถามที่โง่ เพราะไม่ได้ทำให้เกิดความรู้เกิดปัญญา ไม่ได้ทำให้คิดได้ คิดเป็น เพราะได้แต่พยายามตอบสิ่งที่คาดว่าอยู่ในใจผู้ถาม หรือมีในตำราหรือที่ไหนสักแห่ง ปัญหาการศึกษาไทย คือ การสอนให้คนรู้แต่คำตอบ แต่ไม่สอนให้ตั้งคำถาม ผลจึงออกมาเป็นอย่างที่เห็นในบ้านเมือง คือ การคิดอะไรใหม่ คิดนวัตกรรมไม่ค่อยได้ เพราะไม่มีการเรียนรู้มีแต่เลียนแบบ เฮกันไปเฮกันมา เห็นเขาปลูกอ้อยก็อ้อย มันก็มัน ปาล์มก็ปาล์ม ทำธุรกิจก็ทำตามๆ กัน เจ๊ง เป็นหนี้ คำถามที่เลวมักจะถามให้คิดไปข้างหลัง ไม่ปลุกเร้าให้คิดไปข้างหน้า ให้เป็นแบบรุก (active) ไม่ใช่ แบบรับ (passive) รายการทีวีที่สร้างสรรค์ปัญญาก็มีแต่น้อยมาก ที่นำคนมาตอบคำถามแบบที่ต้องคิดเอง เช่น ถ้าคุณได้เป็นรัฐมนตรีมหาดไทย คุณจะทำอะไรกับการปกครอง ถ้าเป็นรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ คุณจะทำอย่างไรกับการศึกษาไทย ไม่แน่ อาจจะได้ความคิดดีๆ ที่นอกกรอบ ทวนกระแส และเป็นอะไรที่มีพลังเพื่อสร้างสรรค์การเปลี่ยนแปลงก็ได้ ทำไมรายการแบบนี้ไม่มีให้เห็น หรือคิดว่าคนทั่วไปคิดไม่เป็น ได้แต่ยิ้มอย่างเดียว บ้านเมืองนี้ต้องการคนทุกสาขาอาชีพมานำเสนอทางสื่อสาธารณะ ไม่ใช่ทางโซเชียลมีเดียอย่างเดียวที่ด่ากันไปด่ากันมา ไม่ได้ประเทืองปัญญาอะไรเลย ถ้าให้ตัวแทนของคนสาขาอาชีพต่างๆ มานำเสนออย่างเป็นรูปธรรม รัฐบาลต่อไปอาจได้อะไรดีๆ ไปคิดต่อทำต่อก็ได้ คนที่อยากทำสิ่งดีๆ ให้สังคมมีมาก แต่ก็ลองฟังเสียงของ เจ เค โรลิง นักเขียนที่รวยที่สุดในโลก ที่เคยจนมาก อยู่ได้ด้วยเงินสวัสดิการของรัฐ ไปเขียนหนังสือในร้านกาแฟ เธอบอกว่า “ถ้าคุณเลือกที่จะใช้สถานภาพและอิทธิพลของพวกคุณในการเปล่งเสียงแทนคนที่ไม่มีเสียง ถ้าคุณเลือกที่จะไม่อยู่ข้างผู้มีอำนาจฝ่ายเดียว แต่อยู่ข้างผู้ไร้อำนาจด้วย ถ้าคุณทำอย่างนั้นได้ คนที่จะสรรเสริญการดำรงชีวิตของคุณจะไม่จำกัดอยู่เพียงครอบครัวของคุณ แต่รวมถึงคนนับพันและนับล้านที่คุณช่วยเปลี่ยนแปลงความจริงของพวกเขาให้ดีกว่าเดิม เราไม่ต้องใช้เวทมนตร์ในการเลี่ยนแปลงโลกใบนี้หรอก เรามีพลังที่จะทำอย่างนั้นอยู่ในตัวเราทุกคนแล้ว - เรามีพลังที่จะจินตนาการโลกที่ดีกว่าเดิม” ไอนส์ไตน์บอกว่า “ถ้าผมมีเวลา 1 ชั่วโมงเพื่อแก้ปัญหา และชีวิตของผมขึ้นอยู่กับคำตอบนั้น ผมจะใช้เวลา 55 นาทีแรกเพื่อค้นหาคำถามที่เหมาะสม เพราะถ้าผมรู้คำถามที่เหมาะสม ผมจะสามารถแก้ปัญหาได้ภายใน 5 นาที” คล้ายกับที่อาบราฮัม ลินคอล์น บอกว่า “ให้เวลาผมตัดต้นไม้ 8 ชั่วโมง ผมจะใช้เวลา 7 ชั่วโมงเพื่อลับขวาน” คนทำ “สื่อมวลชน” ควรเตรียมตัว ทำการบ้านให้ดี ไม่งั้นจะถูกโซเชียลมีเดียประเมินเอาว่า “เราไม่ได้กินหญ้ากินแกลบหรอกนะ” ที่คุณจัดรายการแบบนั้น เราคิดได้ คิดเป็น คุณควรคิดคำถามให้ดี ให้พลังสร้างสรรค์ ที่ไม่ตั้งธงและถามหาคำตอบที่คุณคิดไว้ในใจ เพราะคุณตั้งธงได้ มีอคติได้ คนอื่นก็ทำแบบคุณได้ นั่นคือที่มาของความขัดแย้งไม่รู้จบ คำถามที่สร้างสรรค์มีพลังไม่ใช่แค่บวก แต่เป็นทวีคูณ เป็น synergy การผนึกกำลัง การสนธิกำลัง จะทำให้มีแนวทางในการแก้ไขปัญหาและพัฒนาบ้านเมืองได้ดีกว่าที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะชอบหรือรังเกียจเพียงใด