เก่าไป – ใหม่มา

สำหรับประเทศไทย วันที่ 30 กันยายน ของทุกๆปี คือ วันสุดท้าย ของ ชีวิตข้าราชการ ที่ ครบเกษียณอายุราชการ ที่ถูกกำหนดไว้ในปีที่อายุครบ 60 ปีบริบูรณ์ ก่อนวันที่ 1 ตุลาคม โดยยึดถือว่าเป็นวันเริ่มต้นปีงบประมาณ ทุกหัวโขนที่สวมใส่ ไม่ว่าจะยิ่งใหญ่แค่ไหน หรือเป็นข้าราชการชั้นผู้น้อยเพียงใด หลังเกษียณอายุราชการแล้ว ต้องถอดหัวโขนออกทันที มีสภาพเป็นข้าราชการเกษียณ พิเศษหน่อยที่ยังมีบำเหน็จบำนาญยังชีพ และสวัสดิการที่ลดน้อยลงตามกำหนด

มีสิ่งหนึ่งที่เท่ากันหมด นั่นคือ ความเป็นคน

สำหรับประเทศไทย.....วันที่ 1 ตุลาคม ยังนับเป็นวันเริ่มต้นของรัฐบาลใหม่ ที่ให้บังเอิญพอดีจากการเสร็จสิ้นแถลงนโยบายต่อรัฐสภา ตามกำหนดเวลา 2 วัน คือ วันจันทร์ที่ 29 และ วันอังคารที่ 30 กันยายน         

รัฐบาลใหม่ นำโดย “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล  เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย 146 เสียง แต่เพียงพอที่จะก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีลำดับที่ 32 ของไทย ด้วยคะแนนเสียงสนับสนุนในสภามากกว่าครึ่ง 311 เสียง ในส่วนที่เกินมา 165 เสียง เป็นเสียง สส.งูเห่า 22 เสียง       

กับอีก 143 สส. ของ พรรคประชาชน พรรคการเมืองที่เป็นผู้นำฝ่ายค้านในสภา ใช้ลีลาการเมืองแบบพลิกตำราไม่ทัน เทคะแนนให้”เสี่ยหนู”เป็นนายกรัฐมนตรี แบบมีเงื่อนไขต้องปฎิบัติ ที่พอเป็นสาระสำคัญๆ คือ ต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ เป็นรัฐบาลได้ไม่เกิน 4 เดือน ต้องยุบสภาฯ      

เงื่อนไขที่เหลือ “บารอน” มองว่า ล้วนแล้วแต่ไร้สาระ เป็นไปไม่ได้ในทางปฏิบัติ ที่เห็นชัดๆ ระหว่างเป็นรัฐบาลห้ามมีการรวบรวมเสียง สส.เพิ่ม           

ห้ามพระจะสึกยังยากเสียกว่าห้ามนักการเมืองเข้าพรรคภูมิใจไทย           

ยิ่งผลการเลือกตั้งซ่อม สส.เขต 5 จังหวัดศรีสะเกษ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา นางสาวจินณ์ตวรรณ ไตรสรณกุล จากพรรคภูมิใจไทย สามารถเอาชนะเจ้าถิ่นเจ้าของเก้าอี้ นางสาวภูริกา สมหมาย จากพรรคเพื่อไทย ด้วยคะแนนทิ้งห่างกันกว่า 8000 คะแนน        

จากนี้ไป พรรคภูมิใจไทยหัวกะไดไม่แห้งแน่นอน     

เงื่อนไขในส่วนที่เป็นสาระสำคัญ 2 ข้อหลักๆ คือ “เสี่ยหนู” ต้องยุบสภาฯภายใน 4 เดือน ไม่น่าจะบิดเบือนเป็นอื่น เมื่อ “เสี่ยหนู” ยืนยันกลางสภาฯว่า อายุรัฐบาลจะเริ่มนับหนึ่ง ในวันที่ 1 ตุลาคมนี้ และ จะไปสิ้นสุดครบอายุรัฐบาลตามสัญญา ในวันที่ 31 มกราคม ปีหน้า           

ส่วนข้อที่ว่า จะทำการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นั้น “บารอน” ว่า น่าจะมีปัญหาในทางปฏิบัติ เนื่องจากว่าครั้งนี้ กลุ่ม สว. นำโดย นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ ได้ร้องขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเรื่องการต้องทำประชามติกี่ครั้ง         

โดย ศาลรัฐธรรมนูญ ได้วินิจฉัยให้เป็นบรรทัดฐานต้องนำไปฎิบัติแล้วว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ต้องมีการขออนุญาติประชาชนผู้เป็นเจ้าของอำนาจตัวจริง ด้วยการต้องทำประชามติ 3 ครั้ง แบ่งเป็น 2 ครั้งแรก ก่อนจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ จะแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวดใด มาตราใด สามารถรวมเป็นทำประชามติครั้งเดียวกันได้        

ส่วนการทำประชามติครั้งที่ 3 ภายหลังการแก้ไขรัฐธรรมนูญเสร็จสิ้นแล้ว.....เสียงส่วนใหญ่จะยอมรับหรือไม่      

มีคำวินิจฉัยที่แถมมา คือ รัฐธรรมนูญไม่ได้ระบุให้มีตั้ง สสร. ไม่ใช่เป็นคำวินิจฉัยนอกเหนือจากคำร้อง ที่นี่ “บารอน” มองเจตนาดีของคำวินิจฉัยนี้ เป็นการส่งสัญญาณว่า ห้ามมีการเลือก สสร.มาเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ นะ จะเป็นการขัดรัฐธรรมนูญ     

เผื่อวันหน้า มีการเลือก สสร.เขียนรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้วเสร็จ มีคนร้องศาลรัฐธรรมนูญขึ้นมาว่าเป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญ

สูญเสียทั้งเวลาและเงินตรางบประมาณเปล่าๆปลี้ๆ