เสือตัวที่ 6
หลายกรณีที่ฝ่ายขบวนการแบ่งแยกดินแดนปลายด้ามขวาน ทั้งแกนนำขบวนการ แนวร่วมขบวนการทั้งที่เปิดเผย และแนวร่วมอำพรางในทางลับ ที่ซ่อนตัวอยู่ในรูปแบบของกลุ่มต่างๆ ล้วนพร้อมใจกันดาหน้าออกมาร่วมปฏิบัติการสงครามข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ ผ่านสื่อสารมวลชนแบบดั้งเดิมและสื่อสารมวลชนในทุกออนไลน์ เพื่อตอบโต้ หรือชิงการนำฝ่ายความมั่นคงของรัฐอย่างมีพลังได้อย่างเหลือเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นกรณีการลอบสังหารนักบวชในศาสนา อย่างโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ ถึงที่พำนักในศาสนสถาน หรือในกรณีที่บุกเข้าสังหารอาสาสมัครรักษาความปลอดภัยให้เด็กนักเรียนถึงในสถานศึกษาที่ผ่านมา แกนนำและแนวร่วมทั้งหลายของขบวนการร้ายแห่งนี้ ก็พร้อมใจกันออกมาตีข่าวให้ร้ายฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐอย่างหน้าตาย โดยกล่าวอ้างเป็นเสียงเดียวกันว่า อาจเป็นการก่อเหตุสร้างสถานการณ์กันเองของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงของรัฐ แล้วโยนความผิดให้ขบวนการก่อความไม่สงบ ซึ่งมนุษย์ปุถุชนที่มีความปกติทางจิตทั่วไป ไม่อาจเชื่อถือได้
หากแต่อย่างน้อย ก็เป็นการทำสงครามข้อมูลข่าวสารให้เกิดความสับสนในสังคมท้องถิ่น ที่ส่วนหนึ่งมีแนวโน้มเอนเอียงเข้าข้างคนกลุ่มของตนอยู่แล้ว ให้ลังเลที่จะเชื่อข้อมูลของรัฐเพียงฝ่ายเดียว และขบวนการยังทำสงครามข้อมูลข่าวสารตลอดเวลาของการต่อสู้กับรัฐ ก็มีเป้าประสงค์สำคัญในการบิดเบือนข้อเท็จจริงให้เกิดขึ้นในสายตาชาวโลก โดยเฉพาะองค์กรระหว่างประเทศบางแห่งที่มักจะเอาใจช่วยคนกลุ่มนี้อยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ทั้งยังมุ่งประสงค์ที่จะทำลายความน่าเชื่อถือของรัฐในการป้องกันและปราบปรามการก่อความไม่สงบได้อย่างเต็มกำลัง แม้จะมีกฎหมายพิเศษให้อำนาจไว้มากมาย ไม่ว่าจะเป็น กฎอัยการศึก หรือ พ.ร.บ.ความมั่นคง ก็ตาม
ซึ่งการทำสงครามข้อมูลข่าวสารนั้น นักการทหารทั่วไปเข้าใจกันดีว่า เป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ในสนามรบของทุกยุคสมัย เพราะเป็นเครื่องมือหนึ่งในการบั่นทอนศักยภาพการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้เป็นอย่างดี การใช้สงครามข้อมูลข่าวสารเชิงรุก เพื่อทำลายความชอบธรรมในการสู้รบ และทำลายความมั่นใจในการปฏิบัติการของกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้าม เป็นกลยุทธ์สำคัญประการหนึ่งในการนำมาซึ่งชัยชนะของฝ่ายที่มีขีดความสามารถในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารที่เหนือกว่า แม้ศักยภาพในการสู้รบโดยตรงของฝ่ายนั้น จะอ่อนด้อยกว่า หากฝ่ายนั้น มีความชาญฉลาดในการใช้สงครามข้อมูลข่าวสารที่เหนือกว่าอีกฝ่ายหนึ่ง ย่อมสร้างความสับสนในการต่อสู้ของฝ่ายตรงข้ามได้อย่างมาก
และกรณีที่หน่วยงานด้านความมั่นคงของรัฐ ได้รับแจ้งเบาะแสจากภาคประชาชนในพื้นที่รองสถานศึกษาปอเนาะล่าสุดดังกล่าว จนมีการปิดล้อมจับกุมคนกลุ่มนี้ ที่เป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง และมีอายุอยู่ระหว่าง 16 – 20 ปี ที่กำลังฝึกปฏิบัติการในยามดึกดื่นตลอดหลายวันที่ผ่านมา กลับถูกแนวร่วมขบวนการก่อความไม่สงบ ทั้งที่เป็นแนวร่วมที่ตั้งใจและที่ไม่ได้ตั้งใจ โดยพร้อมใจกันให้ข่าวไปในทางลบต่อการปฏิบัติการปิดล้อมจับกุมของเหน้าที่ฝ่ายคามมั่นคงของรัฐ โดยอ้างว่า เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติการครั้งนี้อย่างไม่สมควร เป็นการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม และเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนที่ขบวนการร้ายแห่งนี้ มักจะยกเป็นข้ออ้าง เพื่อหน่วงรั้งพลังในการทำงานเพื่อนำคนร้ายมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมอย่างเป็นผลตลอดมา
ในขณะที่ โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า พยายามอธิบายกรณีนี้ว่า เจ้าของปอเนาะแห่งนี้ เข้าข่ายความผิดฐานรับบุคคลต่างด้าวเข้ามาพักอาศัยโดยไม่แจ้งให้เจ้าหน้าที่ของรัฐทราบ และความผิดรับบุคคลต่างด้าวที่ไม่ได้รับอนุญาตเข้าเมือง เพราะคนกลุ่มนี้ไม่มีหนังสือเดินทางเข้าพักอาศัย ซึ่งจะมีความผิดฐานให้ที่พักพิง ซ่อนเร้น ช่วยเหลือผู้หลบหนีเข้าเมืองโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย ทั้งยังให้ข้อมูลต่อสาธารณะชนว่า "ยืนยันว่าได้ปฏิบัติทุกขั้นตอนของกฎหมายด้วยความระมัดระวัง โดยไม่มีเจตนากลั่นแกล้งหรือมีอคติกับโรงเรียนปอเนาะตามที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกต ฉะนั้นผู้ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์จึงไม่ควรด่วนสรุปความบริสุทธิ์แทนผู้ถูกควบคุมตัว และก่อนจะแสดงความคิดเห็น ควรตรวจสอบข้อเท็จจริงอย่างรอบด้าน เพราะมิฉะนั้นจะเข้าข่ายเจตนาบิดเบือนข้อเท็จจริง"
และนอกจากนั้น ฝ่ายแนวร่วมขบวนการแบ่งแยกดินแดนปลายด้ามขวาน ยังพยายามทำสงครามข่าวสาร เพื่อตอกย้ำให้เกิดการแบ่งแยก สร้างความไม่ไว้วางใจของมวลชนคนในพื้นที่กับหน่วยงานภาครัฐอย่างน่าละอายต่อไปอีก โดยการปล่อยข่าวลือว่าเจ้าหน้าที่จะปูพรมเข้ากวาดล้างจับกุมทุกปอเนาะ ทำให้ผู้ปกครองและนักเรียนในพื้นที่เกิดความหวาดกลัว และเกลียดชังรัฐ ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด เพราะโรงเรียนปอเนาะส่วนใหญ่ปฏิบัติถูกต้องตามระเบียบและกฎหมายที่กำหนดไว้แล้ว ซึ่ง โฆษก กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้าได้ชี้แจงทำความเข้าใจผ่านสื่อมวลชน เพื่อไม่ให้ประชาชนในพื้นที่หลงเชื่อข่าวลือ เพราะอาจตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มผู้ไม่หวังดี ส่วนพ่อแม่ผู้ปกครอง สามารถส่งลูกหลานไปเรียนปอเนาะได้ตามปกติ เพราะปอเนาะไม่มีสิ่งผิดกฎหมาย เหล่านี้ คือปรากฏการณ์เดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ที่ฝ่ายขบวนการก่อความไม่สงบ จะใช้ทุกวิถีทางในการทำลายความน่าเชื่อถือ ลดทอนศักยภาพในการปฏิบัติตามกฎหมายของเจ้าหน้าที่รัฐ ในขณะเดียวกัน ก็ปลุกขวัญกำลังใจในการต่อสู้ และส่งสัญญาณให้แนวร่วมขบวนการร้ายแห่งนี้ สู้ต่อไปตราบใดที่ยังไม่บรรลุเป้าหมาย ด้วยความชำนิชำนาญในการทำสงครามข้อมูลข่าวสารของฝ่ายขบวนการที่ดูจะเหนือกว่าฝ่ายรัฐอยู่หลายขุม