ดูเหมือนว่าเกมการเมืองครั้งนี้จะ "ก้าวข้าม" แพทองธาร ชินวัตร ไปไกลกว่าที่หลายคนคาดการณ์ไว้ เห็นได้จากการที่ พรรคภูมิใจไทย ชิงเกมเร็วในการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งบ่งชี้ว่าได้มีการเตรียมการมาเป็นเวลานาน

ความกดดันยิ่งเพิ่มขึ้นเมื่อต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่อาจพ่ายแพ้ในเกมจัดตั้งรัฐบาล และสูญเสียอำนาจทางการเมือง โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญที่ ร่างกฎหมายงบประมาณประจำปี 2569 กำลังจะประกาศใช้ งบประมาณก้อนนี้ถือเป็น "ทุนรอนและกระสุนทางการเมือง" ที่สำคัญสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้า

นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ "เกมยุบสภา" ถูกพูดถึงอีกครั้งจากฝั่งพรรคเพื่อไทย โดย นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ในฐานะรักษาราชการแทนนายกฯ ได้กล่าวอย่างหนักแน่นว่า "ถ้าเราจะยุบเราก็ยุบเลยได้ ถ้าใครขัดข้องก็ไปฟ้องได้"

แม้ว่าในอดีต อำนาจในการยุบสภาจะเคยเป็น "ไม้เด็ด" หรือไพ่ตายที่พรรคเพื่อไทยใช้ในการเจรจาต่อรองทางการเมือง แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน ไพ่ใบนี้กลับเผชิญกับความท้าทายที่น่ากังวลจนน้ำหนักลดลงอย่างมีนัยสำคัญ หลังจากที่ เลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ได้ออกมายืนยันอย่างชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีรักษาการไม่มีอำนาจในการยุบสภา

คำยืนยันนี้ ทำให้คำขู่ยุบสภาที่เคยเป็นเครื่องมือต่อรองกลายเป็นเพียงคำพูดที่ไร้น้ำหนัก บทบาทของพรรคเพื่อไทยจึงอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับทางเลือกที่ยากลำบาก หากตัดสินใจช้าอาจเสียโอกาสให้พรรคร่วมรัฐบาลอื่นไปผนึกกำลังกับพรรคภูมิใจไทย

แน่นอนว่าไม่ใช่แค่การสูญเสียโอกาสในการสะสมเสบียงเพื่อการเลือกตั้ง แต่กระบวนการ "ล้างแค้นเอาคืน" จากค่ายสีน้ำเงินย่อมทวีความรุนแรงขึ้นตามอำนาจรัฐที่อยู่ในมือของพวกเขาด้วยเช่นกัน

แม้จะมีข้อจำกัดต่างๆ  แต่การพูดถึงการยุบสภาเป็นกลไกหนึ่งของการต่อรองทางการเมือง โดยเฉพาะในสถานการณ์ที่พรรคร่วมรัฐบาลเกิดความขัดแย้ง หรือมีการชิงความได้เปรียบในการจัดตั้งรัฐบาล การหยิบยกเรื่องยุบสภาขึ้นมาพูด อาจเป็นความพยายามที่จะสร้างแรงกดดันต่อพรรคอื่น ๆ เพื่อให้ยอมรับเงื่อนไขทางการเมืองบางอย่าง หรือเพื่อชะลอเกมการจัดตั้งรัฐบาลของฝ่ายตรงข้าม

การยุบสภาเป็นกลไกสำคัญในระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาเพื่อแก้ไขวิกฤตทางการเมืองที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติ หรือเมื่อรัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศต่อไปได้ แต่ขณะนี้ดูเหมือนว่าจะเลยเวลาในการยุบสภาไปแล้ว  เว้นแต่ละเลือกนายกฯกันไม่ได้อาจจะมีประตู