ทวี สุรฤทธิกุล
คนที่ “ท้องผูก” หรือถ่ายไม่สะดวกนั้น ส่วนใหญ่จะร้อนใน เบื่ออาหาร และอารมณ์หงุดหงิด ฉันใดก็ตาม คนที่ “ท้องผูกทางการเมือง” ก็มักจะมีอารมณ์ร้อนรน เบื่อทุกอย่างรอบตัว และอยากอาละวาดกับทุกคน
กลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้รับเชิญให้วิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองผ่านการโฟนอินของโทรทัศน์ดาวเทียมช่องหนึ่ง ประเด็นของพิธีกรผู้ถามมี 2 เรื่องใหญ่ ๆ คือเรื่องแรกถามเกี่ยวกับผลการทำโพล ที่มีผลออกมาว่ารัฐบาลมีคะแนนนิยมตกต่ำลงเรื่อย ๆ เป็นเพราะเหตุใดและบ่งชี้ถึงอนาคตของรัฐบาลนี้อย่างไร กับเรื่องที่สองถามเกี่ยวกับคดีของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ที่ถูกฟ้องต่อศาลรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับการโทรศัพท์ “ขายชาติ” ให้กับตาเฒ่าฮุนเซน ที่จะต้องมีการตัดสินในวันที่ 29 สิงหาคมที่ใกล้จะถึงนี้
ในเรื่องแรก ผู้เขียนได้อธิบายความถึง “ธรรมชาติแห่งโพล” ว่า เป็นสิ่งที่มีความไม่แน่นอน แปลง่าย ๆ ว่าไม่ได้แม่นยำ เพียงแต่ว่าถ้าทำได้ดี มีคำถามที่ถูกต้อง และเก็บข้อมูลได้ชัดเจนพอเพียง อย่างดีก็วัดได้แค่ “แนวโน้ม” หรือที่วิชาสถิติเรียกว่า “ความน่าจะเป็น – Probability” จึงไม่ควรถือเอาเป็นอารมณ์ และยิ่งเป็นโพลทางการเมืองนั้นก็วัดยากเป็นอย่างยิ่ง เพราะผู้คนในทางการเมืองมีอารมณ์ “แปรปรวน” เป็นที่สุด โดยที่ค่าแปรปรวนหรือที่สถิติเรียกว่า Variants นี้คือสิ่งที่ทำให้การวัดหรือการวิเคราะห์ค่าสถิติ “เละเทะ” หรือเสียหายอยู่เรื่อย ๆ อย่างเช่นการทำโพลของนิดาโพลในการเลือกตั้งสองครั้งหลังนี้ ก็มีผลออกมา “ผิดคาด” เป็นอย่างมาก นั่นก็คือชัยชนะของพรรคสีส้มที่มีเหนือกว่าพรรคสีแดงนั่นเอง
ทีนี้ก็มาถึงการทำโพลวัดความนิยมในรัฐบาลหรือตัวผู้นำ ที่เห็นเป็นต้นแบบก็คือแกลลัพโพลของประเทศสหรัฐอเมริกา (ก่อตั้งเมื่อ พ.ศ. 2478 ปัจจุบันเป็นปีที่ 90) ที่ทำออกมาได้ผลค่อนข้างแม่นยำ ทั้งนี้ปัจจัยสำคัญก็คือสหรัฐอเมริกามีระบบพรรคที่เข้มแข็ง คนอเมริกันสามารถ “ดีไฟน์” หรือแยกแยะได้ว่าใครเป็น “เดโมแครต” หรือ “รีพับลิกัน” ค่าแปรปรวนจึงมีไม่มาก ที่สำคัญคนอเมริกันชอบแสดงออกทางการเมือง ผ่านการแสดงความคิดเห็นในเรื่องสาธารณะต่าง ๆ และมีระบบกฎหมายกับกระบวนการยุติธรรมที่ “เชื่อถือได้” ทำให้ผลของการวัดความเห็นมีความ “น่าเชื่อถือ” ตามไปด้วย
ประเทศไทยขาดปัจจัยพื้นฐานในเรื่อง “การมีส่วนร่วมทางการเมือง” (แม้ว่าคนไทยจะชอบก่อม็อบมาก แต่ก็ไม่ใช่การมีส่วนร่วมที่เป็นปกติแบบที่คนอเมริกันมี คือการแสดงความคิดเห็นและการเคารพกฎหมาย) ที่ทำให้การทำโพลเป็นไปด้วยความยากลำบาก (หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 นักรัฐศาสตร์อเมริกันได้มาสำรวจด้านสังคมวิทยาในประเทศไทย แล้วนำผลมาอธิบายพฤติกรรมทางการเมืองของคนไทย พบว่าคนไทยนั้นมีวัฒนธรรมทางการเมืองแบบ “ไพร่ฟ้า” คือชอบเชื่อฟังผู้มีอำนาจ แต่ที่สำคัญคือไม่ค่อยสนใจการเมือง จนถึงขั้นเฉื่อยชาทางการเมือง ซึ่งในคราวที่มีการปฏิรูปการเมืองในช่วง พ.ศ. 2539 - 2540 อันนำมาซึ่งการจัดทำรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2540 นั้น แนวคิดนี้ก็ได้ถูกนำมาเป็น “โจทย์” และถูกนำไปสร้างเป็นเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ ได้แก่ การเพิ่มการมีส่วนร่วมของประชาชน เป็นต้นว่า การเลือกตั้งเป็นหน้าที่ ถ้าใครไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะต้องเสียสิทธิบางอย่างไปด้วย รวมถึงการตั้งองค์กรอิสระต่าง ๆ มาให้ประชาชนได้ใช้ประโยชน์หรือเพิ่มอำนาจให้ประชาชนผ่านองค์กรอิสระเหล่านั้น ซึ่งที่สุดก็ “ไร้ประสิทธิภาพ” ขาดความน่าเชื่อถือ และกลายเป็น “องค์กรไส้ติ่ง” อยู่ในปัจจุบัน)
ดังนั้นผู้เขียนจึงตอบพิธีกรที่ถามมานั้นไปว่า “อย่าเอาผลโพลมาเป็นอารมณ์” ซึ่งคนที่ถูกทำโพลคือรัฐบาลนั้นเขาก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว เขาจึง “ไม่สน - ไม่แคร์” คือพวกนักการเมืองของไทยนั้นไม่เคยให้ความสำคัญกับเรื่องผลของโพลมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว คนไทย “ไพร่ฟ้า” อย่างเราจึงไม่ควรเอามาเป็นอารมณ์ให้เกิดอาการพะอืดพะอม จนถึงขั้นร้อนอกร้อนใจ กระวนกระวาย กินไม่ได้ นอนไม่หลับ หรือถ่ายไม่ออกนั้นไปเลย (ลืมแนะนำไปว่า ถ้าใครที่นับถือศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง อาจจะต้องใช้ “อุเบกขา” คือปล่อยวาง โดยจะต้องเริ่มจากแผ่เมตตา ที่ทำกันทั่วไปคือกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้แก่ “เจ้ากรรม ไอ้เวร – อีเวร” เหล่านั้น ที่สุดคือมองไม่เห็นตัวตนนักการเมืองเลว ๆ เหล่านั้น แบบ “นิพพานัง ปะระมัง สุขขัง – ความไม่มีตัวตนนั้นเป็นสุขอย่างยิ่ง)
ทีนี้ก็มาถึงคำถามที่สอง ซึ่งผู้เขียนตอบด้วยความมั่นใจเชิงประชดประชันและ “รับประทานแรง ๆ” ว่า “อุ๊งอิ๊งไม่รอดหรอก” และน่าจะหนีไปก่อนที่จะมีการอ่านคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญในวันที่ ๒๙ สิงหาคมนี้ซะด้วย ซึ่งการหนีออกไปเสียจากประเทศไทยในครั้งนี้ของอุ๊งอิ๊ง ไม่ใช่หนีคำตัดสินที่ศาลจะอ่านเท่านั้น แต่ยังหนีด้วยคดีที่จะตามมา เพราะเมื่ออุ๊งอิ๊งกระทำการ “ผิดจริยธรรมจนเป็นที่ประจักษ์” เช่นนี้แล้ว ก็น่าจะต้องมีผู้นำเรื่องขึ้นสู่ศาลอาญาในข้อหากบฏหรือ “ทรยศ - ขายชาติ” เพื่อเอาผิดให้จงหนักต่อไป อันมีโทษถึงประหารชีวิตหรืออย่างน้อย ๆ ก็ติดคุกมหันตโทษตลอดชีวิต
บทความนี้เขียนในวันศุกร์ที่ 22 ภายหลังที่อุ๊งอิ๊งได้ไปให้ปากคำต่อศาลรัฐธรรมนูญเมื่อวันที่ 21 ที่มีกระแสข่าวตีความจากสีหน้าท่าทางของอุ๊งอิ๊งว่า พอออกมาจากศาลแล้วก้มหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส คงจะ “รอด” หรือศาลคงจะไม่เอาผิดกับอุ๊งอิ๊งอีกต่อไปแล้ว คล้าย ๆ กับที่เคยตัดสินพ่อของอุ๊งอิ๊งว่า “บกพร่องโดยสุจริต” ซึ่งถ้าในวันที่ 29 ผลออกมาว่าอุ๊งอิ๊งไม่ผิดจริง ๆ ผู้เขียนขอเตรียมคำพูดให้อุ๊งอิ๊งบอกแก่ศาลว่า “ขอบคุณตุลาการทุกท่านนะคะ ที่ให้ความเป็นธรรมแก่ดิฉัน ดิฉันก็แค่ โง่โดยสุจริต เท่านั้นหละค่า”
อย่างไรก็ตามผลที่จะตามมาจากการที่อุ๊งอิ๊งพ้นผิดในครั้งนี้จะ “น่ากลัวพิลึก” คือสังคมไทยส่วนหนึ่งน่าจะ “ท้องผูกทางการเมือง” กันอย่างหนัก ทั้งนี้ก็เป็นผลจากการคาดหวังในศาลรัฐธรรมนูญมากเกินไป ด้วยนึกว่าศาลรัฐธรรมนูญจะ “สร้างบรรทัดฐาน” หรือค่านิยมที่ถูกต้องให้กับการเมืองไทย (อย่าลืมนะครับ ศาลรัฐธรรมนูญนี้สร้างขึ้นมาด้วยเหตุผลทางการเมือง ย่อมจะต้องช่วยสร้างและปกป้องการเมืองจากความชั่วร้ายต่าง ๆ โดยเฉพาะจากนักการเมืองชั่ว ๆ และสิ่งชั่ว ๆ ที่นักการเมืองเหล่านี้สร้างขึ้น ประชาชนจึงคาดหวังต่อท่าน ๆ ในองค์กรเหล่านี้สูงมาก ๆ) แล้วคนที่ท้องผูกนั้นน่ากลัวมาก ๆ นะครับ ตอนนี้ยังคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรตามมาอีกบ้าง
ตอนนี้ในบางภาคส่วนก็กำลังมีความพยายามที่จะ “ปฏิรูปองค์กรอิสระ” คงด้วยเห็นว่าองค์กรเหล่านี้ถ้าเป็นยาก็อาจจะเป็นยา “หมดอายุ” ที่ใช้ไม่ได้ผล หรือบางองค์กรก็หลอมไหลไปเป็นส่วนหนึ่งของการค้ำจุนสิ่งชั่ว ๆ ทางการเมือง หรือเป็นยาที่ “เสื่อมสภาพ” ดังนี้แล้วก็อาจจะต้อง “ปรับปรุง – เปลี่ยนสูตร” จนถึงขั้นที่ต้องเปลี่ยนวิธีรักษา
ประเทศไทยแค่เปลี่ยนหมอหรือผู้นำยังไม่พอ ต้องเปลี่ยนยาหรือพวก “องค์กรไส้ติ่ง” ทั้งหลายนั้นด้วย