หลายฝ่ายคาดการณ์ตรงกันว่า รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ที่เผชิญวิกฤติขั้นสุด อาจประคองรัฐนาวาไปได้ไม่เกินสิ้นปี 2568 จากปมคลิปเสียงที่ทำลายความน่าเชื่อถือ ตอกย้ำทฤษฎีสมคบคิด และข้ออ้างเทคนิคเจรจาที่ฟังไม่ขึ้น นำไปสู่การขยายผลปลุกระดมความเกลียดชังและมวลชนต่อต้านทั้งออนไลน์ ออนไซต์

ขณะเดียวกันก็เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ จากที่พรรคเพื่อไทยกำลังเป็นฝ่ายถือแต้มต่อทางการเมือง ในการรุกไล่ปรับครม.ดึงกระทรวงมหาดไทยออกจากพรรคภูมิใจไทย  และการกระชับพื้นที่คดีฮั้วเลือกสว.ที่ออกหมายเรียกบรรดาแกนนำของพรรคภูมิใจไทย และคลิปเสียงที่ว่า “เราทำเพื่อข้างบน”

ขีดเส้นตายให้ตัดสินใจในเวลา 48 ชั่วโมง การเมืองระหว่างประเทศกลับเข้ามาแทรก ทำให้พรรคภูมิใจไทยชิงจังหวะถอนตัวชนิดที่เรียกว่า หาทางลงได้อย่างสวยงาม  

ทั้งหมดนี้เป็นผลกระทบสำคัญหลังจากมีการเผยแพร่คลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยกับ อดีตนายกรัฐมนตรี กัมพูชา สมเด็จฮุนเซน

กระนั้น หากย้อนกลับไป การทำลายทางการเมืองด้วยคลิปเสียงนั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับนักการเมืองอย่าง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ นปี 2567 หลังพรรคเพื่อไทยไม่รับพรรคพลังประชารัฐเข้าร่วมรัฐบาล โดยดึงพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาแทน

ทำให้พรรคพลังประชารัฐระส่ำระสาย สส.ในกลุ่มของ ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประกาศย้ายข้างมาอยู่กับเพื่อไทยแทน แต่พล.อ.ประวิตรมีท่าทีแข็งกร้าวไม่ยอมปลดล็อกให้ง่ายๆ กระทั่งมาพ่ายแพ้เกมการเมืองหลังมีคลิปเสียงหลุด จนนำไปสู่การตัดสินใจ เปิดทางให้สส.กลุ่มร.อ.ธรรมนัส  ย้ายไปอยู่กับพรรคกล้าธรรม

อย่างไรก็ตาม การใช้คลิปเสียงเป็นการเล่นการเมืองแบบสกปรก และไม่สร้างสรรค์ เพื่อหวังทำลายความน่าเชื่อถือของคู่ต่อสู้ทางการเมือง มากกว่าการทำงานการเมืองที่มุ่งเสนอนโยบายและประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติอย่างสร้างสรรค์

ไม่ว่าจะเป็นการเมืองภายในหรือระหว่างประเทศ เราไม่เห็นด้วยกับแนวทางดังกล่าว เสว้นแต่ในบางกรณีคลิปเสียง เป็นหลักฐานสำคัญในการพิสูจน์ “ทฤษฎีสมคบคิด” และ “การทุจริต” เพื่อนำไปสู้การตรวจสอบและดำเนินการเอาผิด

ส่วนคนที่บันทึกเสียงคู่สนทนาและนำไปส่งต่อให้กับคนถึง 80 คนนั้น เราๆท่านๆใช้ดุลพินิจได้เองว่าเป็นอย่างไร