คลิปเสียงสนทนาระหว่างนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กับสมเด็จฮุนเซน มีอานุภาพทำลายล้างสูงไม่ต่างจากระเบิดปรมาณู กระทบวิกฤติศรัทธาของผู้นำหญิงอย่างหนัก ด้วยข้อหาร้ายแรงต่อความมั่นคงของประเทศ ตอกย้ำทฤษฎีสมคบคิด และสร้างความแตกแยกกับกองทัพ

เกมโหดของทหารเฒ่าอย่าง สมเด็จฮุนเซน ยังเดินหน้าต่อไม่หยุดส่งสมุนมาร้องรำทำเพลงที่ปราสาทตาควายอีก

ในขณะที่การเมืองภายในระส่ำระสาย พรรคภูมิใจไทยที่ถูกไล่บี้ปรับคณะรัฐมนตรี ตัดสินใจชิงจังหวะถอนตัวออกจากรัฐบาล บีบให้พรรคร่วมรัฐบาลต้องแสดงท่าทีว่าจะอยู่ต่อหรือพอแค่นี้ ในสถานะรัฐบาลเสียงปริ่มน้ำ

อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะมีความพยายามประคับประคองรัฐบาลแพทองธาร จากภาพที่ปรากฏในการแถลงข่าว ที่ พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด, พล.อ.พนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการทหารบก  รวมถึงเสนาธิการเหล่าทัพยืนอยู่ในแผงหลังของ นายกรัฐมนตรี ส่งสัญญาณว่ากองทัพยังสนับสนุนนายกรัฐมนตรี

โดยนายกรัฐมนตรี ได้แถลงขออภัยประชาชนและชี้แจงว่าเป็นเทคนิคการเจรจา

“อันดับแรกต้องขออภัยพี่น้องประชาชนเกี่ยวกับกรณีที่คลิปเสียงการสนทนาที่ตนพูดคุยกับผู้นำกัมพูชา ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น  จึงต้องขออภัยที่ทำให้เกิดความไม่สบายใจ...

ได้มีโอกาสพูดคุยกับแม่ทัพภาคที่ 2 และกองทัพ เพื่ออธิบายถึงเจตนาว่าเป็นเพียงเทคนิคการสื่อสื่อ การเจรจา ว่าเราต้องแสดงความเข้าใจ เพื่อจะคุยถึงรายละเอียดต่อไป  เพื่อต่อรองไม่ให้เกิดการปะทะ ซึ่งเป็นความตั้งใจที่แท้จริงที่ต้องการให้สถานการณ์สงบสุข  และไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิปและเผยแพร่แบบนี้   โดยได้ทำความเข้าใจกับกองทัพเรียบร้อยแล้ว และทางกองทัพก็รับฟัง

วันนี้เราต้องร่วมมือกัน ผนึกกำลังกันเอาไว้  วันนี้คนไทยทุกคน ทุกภาคส่วน ได้สรุปว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ และไม่ใช่ภัยคุกคามเล็กๆ ของประชาชน หรือของใครที่จะมาพูดว่ารัฐบาลกับกองทัพที่จะมาสู้กัน   วันนี้ เราไม่มีเวลาที่จะมาทะเลาะกันเอง  เราต้องปกป้องอธิปไตยของเราไว้  ซึ่งเป็นสิ่งที่เห็นตรงกันและรัฐบาลยินดีสนับสนุนกองทัพทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการสนับสนุนใดๆ ก็ตามที่ทางกองทัพต้องการ  นี่คือสิ่งที่เราตั้งใจว่าจะทำร่วมกัน...

...ดิฉันต้องขออภัยในความที่ไม่ทราบจริงๆ ว่ามีการอัดคลิป และต่อจากนี้จะระวังในเรื่องของการพูดคุยให้มากขึ้น  และจากการที่พูดคุยกับกองทัพ มั่นใจว่า ถ้าเรารวมกันเป็นหนึ่งและสามัคคีกัน  เราจะสามารถจะผ่านพ้นวิกฤตินี้ไปด้วยกันอย่างแข็งแรงได้”

ดูเหมือนว่ามีความพยายามที่จะดับไฟใน เพื่อที่จะสู้กับไฟนอกเสียก่อน ด้วยกลไกการเมืองภายในนั้นเชื่อว่าจะสามารถจัดการได้ แม้ในสภาวะที่รัฐบาลกำลังนับถอยหลัง แต่ยังไม่สามารถเปลี่ยนม้ากลางศึกหรือปล่อยให้ยุบสภาได้  ในขณะที่น่าสนใจว่า กองทัพจะมีท่าทีอย่างไรต่อมวลชนหลากสีที่ก่อหวอดจะลงถนน