ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

ณ ตอนนี้คงไม่มีเรื่องไหนที่ร้อนใจคนไทยไปมากกว่าปัญหาข้อพิพาทบริเวณชายแดนระหว่างไทยและกัมพูชา วันนี้เราจำเป็นต้องมาคุยเรื่องนี้กันครับ

เรื่องนี้จะว่าไป ก็น่าคิดในหลายมุมครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในมิติของการเกิดปัญหาและการรับมือกับปัญหาในปัจจุบัน

เรื่องปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถ้าถามทหารหรือตชด.ที่อยู่หน้างาน น่าจะได้รับคำตอบคล้ายๆกัน คือ ปัญหาพวกนี้มีอยู่แทบจะ “ตลอดเวลา” ทั้งเรื่องการกระทบกระทั่ง การย้ายหมุดเลื่อนหมุด หรือการล้ำเขตล้ำแดน แต่โดยปกติทั่วไปแล้วผู้ปฏิบัติงานของสองประเทศก็มักจะคุ้นหน้าคุ้นตากัน ด้วยความที่เป็นคนในพื้นที่ที่อยู่มานาน แถมยังมีภาษาและวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน ว่างๆบางทีก็เตะตะกร้อกัน มันจึงเป็นความสัมพันธ์ที่แม้จะมีการกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่ก็มิได้เกลียดชังกันถึงขั้นจะฆ่าแกงกัน “ถ้าไม่จำเป็น”

แต่ปัญหาวันนี้กลับแลดูบานปลาย อย่างน่าแปลกใจ ประหนึ่งว่ามีการพยายาม “ปั่น” เรื่่องนี้ให้เป็นเรื่องใหญ่โต

ว่ากันว่า...ความขัดแย้งหรือสงคราม “ไม่เคยเกิดขึ้นจากชาวบ้าน” แต่ล้วนมีผู้มีอำนาจอยู่เบื้องหลังเสมอ วันนี้เราอาจจะแค่ยังอ่านไม่ออก ว่า “เขาเหล่านั้น” คือใคร? มีกี่ประเทศ? กี่ฝ่าย? กี่คน? และ ต้องการอะไร? ดังนั้น วันนี้ผมจึงอยากให้คนไทยใจเย็นๆ เฝ้ามองสถานการณ์กันต่อไปอีกสักหน่อย โดยทั่วไปแล้วไม่นานดอกที่คำตอบเหล่านี้จะเผยออกมา อย่าเพิ่งรีบไปตามกระแสกัน เพราะอาจจะเป็นสิ่งที่ “เขาเหล่านั้น” ต้องการอยู่ก็เป็นได้

เมื่อวิเคราะห์ฝั่งกัมพูชา ต้องยอมรับว่า ฮุนเซน มีประสบการณ์และความเก๋าในเกมการเมืองระหว่างประเทศค่อนข้างมาก ดูจากการสื่อสารที่ออกมาจะเห็นว่า มีความพยายามยกระดับเรื่องนี้ไปสู่ระดับสากลอยู่ตลอด เพราะเขารู้ว่านั่นเป็นเวทีที่เขาจะได้เปรียบไทยในหลายๆด้าน อีกทั้งยังพยายามสื่อสารให้ไทยเป็นตัวร้ายและเป็นฝ่ายผิดอยู่เสมอ นี่คือความเจนจัดในเกมการเมือง ทำให้ไทยตกเป็นฝ่ายตั้งรับอยู่ตลอดเวลานับตั้งแต่เกิดเรื่อง รวมไปจนถึงการปลุกระดมและปลุกกระแสรักชาติจนเกิดการแสดงออกมากมายในโลกโซเชียล ผู้เขียนมองว่า นี่คือการปลุกระดม ปั่นกระแส และยั่วยุ เพราะความเจนจัดของเขาทำให้เขารู้ดีว่า ความด้อยกว่าของเขาคือ “ความได้เปรียบ”

เพราะมนุษย์เรามักเห็นอกเห็นใจคนที่อ่อนแอกว่าเสมอ หากเกิดเหตุใดที่ไทยเป็นผู้ “เริ่ม” โดยเฉพาะการใช้กำลังทหาร นี่จะกลายเป็นการ “เตะหมูเข้าปากหมา” ไปโดยปริยาย กัมพูชาจะสวมบทเหยื่อที่ถูกผู้แข็งแรงกว่ารังแก และประชาคมโลกจะออกมาวิพากษ์วิจารณ์ไทยอย่างหนักพร้อมกับแรงกดดันมหาศาล “ไทยจะกลายเป็นตัวโกงและจะเสียเปรียบในทุกเวทีทันที”

ดังนั้น วันนี้ต้องกราบเรียนคนไทยทุกคนว่า ต้องแยก “อารมณ์” กับ “เป้าหมาย” ให้ออก

เข้าใจดีว่าคนไทยทุกคนมีเลือดรักชาติเต็มเปี่ยม แต่คำถามที่สำคัญคือ “เราอยากจะเป็นผู้ชนะในสถานการณ์การเมืองนี้ ใช่หรือไม่?” ถ้าใช่ ก็คงต้องข่มอกข่มใจกันสักหน่อย

ในฝั่งของประเทศไทย ท่าทีของรัฐบาลไทยให้ความสำคัญกับหลักการสันติวิธี มีความระมัดระวังในการสื่อสารค่อนข้างมาก โดยเฉพาะการเจรจาในรูปแบบ “ทวิภาคี” คือระหว่างสองประเทศเป็นหลัก และหลีกเลี่ยงการยกระดับไปสู่การเป็นปัญหาระดับสากล ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ถูกครับ เพราะเราก็ไม่อยากให้คนอื่นๆเข้ามาเผือกในสถานการณ์นี้ (ซึ่งเชื่อว่ามีคนพร้อมเผือกอยู่เต็มไปหมด) ซึ่งอาจจะทำให้เราเสียเปรียบได้

แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า อาจจะ “ไม่ถูกใจ” คนไทยจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะในโลกออนไลน์ ที่มีทั้งเลือดรักชาติ สายสุดโต่ง รวมไปจนถึงสายหาแสง หลายต่อหลายคนก็พยายามปั่นกระแสไปเสียไกล รวมไปถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมืองบางท่าน เช่น เอาทหารบุกเข้าไปเลย! ยึดประเทศ ยึดพนมเปญเลย! เป็นต้น

ซึ่งผมก็อยากจะขอแตะเบรกสำหรับแนวคิดสุดโต่งแบบนี้สักหน่อย เพราะเห็นแล้วก็อดเป็นห่วงไม่ได้ เกรงว่าจะไปเข้าทาง “เขาเหล่านั้น” และจะเป็นการไป “เตะหมูเข้าปากหมา” เพราะนอกจากจะทำให้ภาพลักษณ์เราดูแย่ ยังสร้างความแตกแยกทางความคิดในสังคมไทยเราเองอีก

วันนี้ต้องใจเย็นๆครับ อย่าใช้ “อารมณ์” แต่ต้องเอา “เป้าหมาย” เป็นที่ตั้งร่วมกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันในการแก้ปัญหา

ต้องชื่นชมกองทัพไทยและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่เดินเกมอย่างค่อยเป็นค่อยไป มีทั้งการทูตการเจรจาและการกดดันเริ่มจากเบาไปหาหนัก แต่ก็พร้อมถ้าจำเป็นต้องใช้กำลังทหารซึ่งเปรียบเสมือนไม้ตายท้ายสุดของการทูต นี่เป็นวิธีการที่ฉลาด เพราะฝั่งตรงข้ามจะทำอะไรไม่ได้และจะไม่กล้า “เปิด” ก่อนอย่างแน่นอน ด้วยยังหวังจะเล่นบทเหยื่ออยู่

สงครามคือความโหดร้ายครับ ส่วนตัวผมไม่สนับสนุนให้เกิดการใช้กำลังทหาร เพราะในฐานะทหารเก่า เข้าใจดีว่าที่ใดมีการรบที่นั่นมีการสูญเสีย เป็นของคู่กันเสมอ และนั่นหมายถึงชีวิตของคนไทยด้วยเช่นกัน “การสูญเสียทหารหนึ่งคน ไม่ใช่แค่ทหารหนึ่งคนครับ” แต่ต้องคิดว่านั่นคือ พ่อ สามี ลูก หลาน เพื่อน ของคนอีกจำนวนไม่น้อย

สำหรับท่านทั้งหลายที่อยากให้รบกันแต่นั่งอยู่หลังคีย์บอร์ด ขอให้ถามตัวท่านสักหน่อย ว่าถ้ารบกันจริง “ท่านไปรบหรือใครไปรบ? ท่านไปรบกับน้องๆทหารเหล่านั้นหรือไม่?” ถ้าท่านจะไปด้วย ผมก็จะยกมือไหว้สรรเสริญท่าน แต่ถ้าไม่...ก็คงต้องขอให้ท่านใจเย็นๆ อย่าเห็นแก่ยอดไลค์ยอดแชร์ จนทำให้การทำงานของเจ้าหน้าที่ยากลำบากมากขึ้นเลยครับ

ผมเห็นด้วยกับคำว่า “ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด”

แต่วันนี้ผมอยากเห็น “ไทยนี้รักสงบ แต่ไม่ต้องรบ ก็ชนะขาด” เป็นเป้าหมายแรกก่อน

ถ้าไม่สำเร็จ...ไปไหนไปกันครับงานนี้

ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าหน้าที่และคนทำงานทุกท่าน และขอเชิญชวนทุกท่านเป็นส่วนหนึ่งในการบรรลุ “เป้าหมาย” ของชาติร่วมกันครับ