ทวี สุรฤทธิกุล
ยุติธรรมที่วิบัติเพราะผู้ปฏิบัติมองแต่ประโยชน์ตน แต่ไม่มองผู้คนหรือสังคมส่วนรวม
ในกระบวนการยุติธรรมที่เราได้ยินบ่อย ๆ ก็คือ รู้ว่ากระบวนการนี้มีผู้เกี่ยวข้องหลัก ๆ 4 ส่วน ตั้งแต่เริ่มต้นไปจนถึงสิ้นสุด คือ ตำรวจเป็น “ต้นน้ำ” อัยการและศาลเป็น “กลางน้ำ” สุดท้ายคือราชทัณฑ์เป็น “ปลายน้ำ” แต่ความจริงนั้นเราต้องนำ “สังคม” มาปิดหัวปิดท้าย หรืออาจจะเรียกได้ว่าเป็น “ไอน้ำ” ที่เป็นสภาพรวมของทุกสถาบันนั้น ทั้งที่เริ่มต้นก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อร่างสร้างน้ำ จนถึงซึมซับรับเอาทุกสายน้ำที่ไหลมาและไหลไปทั้งหลายนั้นด้วย
แปลความง่าย ๆ ว่า สังคมหรือประชาชนนี้เกี่ยวข้องกับทุกขั้นตอนในกระบวนการยุติธรรม และกระบวนการยุติธรรมจะดีหรือแย่ก็ขึ้นอยู่กับประชาชนหรือสังคมทั้งหมดนี้
ตอนนี้ประเทศไทยกำลังจะแย่เพราะมีคนบางคนบางกลุ่มกำลังย่ำยีกระบวนการยุติธรรม ดีที่ว่าสังคมหรือคนไทยรู้ทัน และคนไทยจำนวนมากกำลังช่วยกัน “กระทืบ” คนที่มาทำลายกระบวนการยุติธรรมนี้ ดังที่เราได้เห็นว่าได้มีคนร่วมลงชื่อให้กำลังใจสนับสนุนแพทยสภา ในการที่จะ “ตบหน้า” พวกคนชั่วลวงโลกที่พยายามจะบิดเบือนความจริงและความถูกต้องต่าง ๆ ในกระบวนการที่จะเอาผิด “นักโทษหน้าเหลี่ยม” คนนั้น
เรื่องพลังทางสังคมที่ช่วยกันกอบกู้กระบวนการยุติธรรมนี้มีอยู่ทั่วโลก ที่ดังมาก ๆ ในระดับนานาชาติก็เช่น กรณีของนายเนลสัน แมนเดล่า ผู้นำในการต่อสู้เรียกร้องเรื่องการเหยียดสีผิวในอาฟริกาใต้ ที่ต้องติดคุกอยู่ ๒๗ ปีจากการเรียกร้องดังกล่าว ในช่วงนั้นสังคมทั่วโลกก็เรียกร้องให้ปล่อยตัวแมนเดล่าอยู่ตลอดเวลา จนถึงปี 2533 เขาก็ได้รับการปล่อยตัว และเมื่อมีการเลือกตั้งประธานาธิบดีในปี 2537 เขาก็ลงสมัครรับเลือกตั้งและชนะได้เป็นประธานาธิบดีอยู่จนถึงปี 2542 เขาได้รับรางวัลโนเบล ได้เป็นรัฐบุรุษแห่งชาติ รวมถึง “วีรบุรุษ” ของนักต่อสู้ทั่วโลก
แต่เรื่องที่สังคมได้ต่อสู้เพื่อ “เปลี่ยนแปลง” กระบวนการยุติธรรมในระดับชาติ ที่ผู้เขียนนำมาเสนอในวันนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น ตั้งแต่ปี 2511 และคดีเพิ่งจะจบสิ้นลงในปี 2566 ที่ผ่านมา (ผู้เขียนได้รับชมเรื่องนี้ในรายการสารคดีทางช่อง NHK เมื่อเช้าวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา) จำเลยและ “วีรบุรุษ” ในคดีนี้ก็คือ นายฮากามาตะ อิวาโอะ (Hakamata Iwao) เขาเคยเป็นนักมวยชื่อดังและอยู่ในอันดับ 6 ของโลกในรุ่นเฟเธอร์เวทในปี 2504 แต่ได้แขวนนวมและมาทำงานในโรงงานมิโซะหรือเต้าเจี้ยวญี่ปุ่นในเมืองชิซุโอกะ กระทั่งวันหนึ่งมีเหตุไฟไหม้ในโรงงาน ฮากามาตะให้การว่าเขาได้เข้าไปช่วยดับไฟ แต่ได้ไปเจอศพของนายจ้างพร้อมภรรยาและลูกถูกแทงตายอยู่ในที่เกิดเหตุ ตำรวจจับกุมตัวเขาและพยายามบังคับให้เขาสารภาพ โดยทำการสอบสวนเขาเป็นเวลา 23 วัน รวม 264 ชั่วโมง เมื่อขึ้นศาลเขาถูกตัดสินประหารชีวิต และเขาถูกจำขังรอการประหารอยู่ตั้งแต่ปี 2511 นั้น
แต่สังคมญี่ปุ่นกลับไม่เชื่อถือในกระบวนการยุติธรรม มีการตั้งทนายเข้าไปช่วยเหลือ และให้นายฮากามาตะยื่นอุทธรณ์ การไต่สวนในศาลเป็นไปอย่างล่าช้า จนถึงปี 2523 ศาลฎีกาก็ยังยืนยันที่จะให้ประหารชีวิตนายฮากามาตะ การเรียกร้องในสังคมญี่ปุ่นก็ยังเข้มแข็งและเรียกร้องให้มีการพิจารณาคดีใหม่อยู่อย่างต่อเนื่อง จนถึงปี 2549 อดีตผู้พิพากษาคนหนึ่งที่ตัดสินประหารชีวิตนายฮากามาตะเมื่อ พ.ศ. 2511 ได้ออกมายอมรับว่ามีการพิจารณาคดีผิดพลาด โดยตำรวจได้ทรมานให้นายฮากามาตะรับสารภาพ และอัยการก็พยายามยัดเยียดหลักฐานต่าง ๆ ที่จะเอาผิดนายฮากามาตะให้ได้ จากนั้นก็มีองค์การและชบวนการสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศหลายแห่งเข้ามาร่วมต่อสู้ช่วยเหลือ เกิดกระแสสังคมมาบีบคั้นไปทั่วโลก ถึงขั้นที่มีการนำเรื่องนี้ไปสร้างภาพยนตร์ไปประกวดในงานภาพยนตร์นานาชาติ ใน พ.ศ. 2553 ทำให้ชาวโลกได้รับรู้การต่อสู้ในเรื่องนี้ในวงกว้าง
นายฮากามาตะได้รับการบันทึกเป็นสถิติจากกินเนสบุ๊คออฟเวิร์ลด์เร็คคอร์ด ว่าเป็นบุคคลที่ถูกจำคุกนานที่สุดในโลก คือ 56 ปี โดยเป็นการขังเดี่ยวถึง 30 ปี ซึ่งในปี 2557 นายฮากามาตะได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากได้มีการตรวจดีเอ็นเอจากเลือดที่ติดอยู่ในเสื้อผ้าในที่เกิดเหตุนั้นใหม่ (เรื่องการตรวจดีเอ็นเอนี้ได้มีความพยายามในฝ่ายนายฮากามาตะมาตั้งแต่ปี 2541 นั้นแล้ว แต่วิทยาการตอนนั้นยังทำไม่ได้ จนถึงปี 2557 ดังกล่าว) จึงพบว่าไม่ใช่เลือดของนายฮากามาตะ ที่สุดศาลก็ยอมรับให้มีการพิจารณาคดีใหม่ กระนั้นคดีก็ยังยืดเยื้อมาอีก 9 ปี ด้วยเหตุที่ฝ่ายศาลก็ไม่อยากจะยอมรับว่าหลักฐานใหม่ต่าง ๆ (ไม่เฉพาะแต่ผลการตรวจดีเอ็นเอ แต่รวมถึงเสื้อผ้าและมีดที่พบในที่เกิดเหตุ) ซึ่งมีการไปค้นหาเรื่องราวโดยสื่อต่าง ๆ จึงค้นพบว่า ทั้งศาลลงไปถึงอัยการและตำรวจนั้น ล้วนแต่ไม่ยอมรับความจริง ที่กลัวจะเสียหน้า และผลที่จะตามมาอื่น ๆ โดยเฉพาะการ “เก็บกวาด ชำระล้าง และสร้างใหม่” ในองค์กรทั้งสามนั้น
เมื่อคดีนี้สิ้นสุดลงในปี 2566 โดยที่ศาลได้ตัดสินให้นายฮากามาตะไม่มีความผิด กระบวนการ “เก็บกวาด ชำระล้าง และสร้างใหม่” ในกระบวนการยุติธรรมของญี่ปุ่นจึงเริ่มขี้นอย่างคึกคัก ตั้งแต่ไม่ให้มีการทรมานหรือ “ซ้อม” ผู้ต้องหา ไปจนถึงการทำงานที่รัดกุมของอัยการ แต่ที่ส่งผลกระทบรุนแรงที่สุดก็คือระบบศาล ที่ในสังคมญี่ปุ่นนั้นค่อนข้างจะยึด “ศักดิ์ศรี” จนไม่ยอมเสียหน้าหรือมองเข้าไปในความเดือดร้อนของสังคม การพิจารณาคดีที่ล่าช้า และการพยายามเข้าข้างคนในกระบวนการยุติธรรมด้วยกัน เหล่านี้ได้ถูกนำไปปรับแก้กฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงที่ทำให้คนในกระบวนการยุติธรรมเหล่านี้ “หันมามอง” และ “รับฟัง” สังคมให้มากขึ้น เพราะที่สุดเมื่อสังคมไม่เอาคุณ ๆ ก็อยู่ไม่ได้ และต้องถูกบีบให้ปรับตัวในที่สุด
หันมามองสังคมไทยในกรณีที่นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีสาธารณสุข ได้คัดค้านมติของแพทยสภา แล้วก็มีผู้คนออกมาตำหนิจำนวนมาก รวมถึงที่ได้มีการล่ารายชื่อให้ผู้คนมาให้กำลังใจแพทยสภา ผู้เขียนก็มีความหวังว่า สังคมไทยจะรักษา “พลัง” นี้ไว้ และถ้า “ไอ้อี” คนไหนยังอยากสู้กับกระแสสังคม หรือยังหยามเหยียดด้อยค่าพลังทางสังคมที่เป็นอยู่นี้ต่อไปอีก ก็หวังว่าพลังนี้จะยกระดับที่รุนแรงขึ้น และช่วยกันถล่ม “ไอ้อี” พวกนี้ให้หลุดพ้นหมดสิ้นไปจากสังคมไทย
สำนวนไทยมีว่า “กรุงศรีอยุธยาไม่สิ้นคนดี” ก็อยากจะต่อเติมว่า “ใน พ.ศ.นี้ ไอ้อีเลว ๆ ต้องสิ้นไปจากกรุงรัตนโกสินทร์”