คำพิพากษาจากศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ (U.S. Court of International Trade) ที่มีต่อคำสั่งของอดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปรียบได้กับการ "สั่งพักเบรก" เกมการค้าเชิงรุกที่เคยทำให้หลายประเทศต้องขยับปรับตัวกันแทบไม่ทัน

ศาลตัดสินว่า ทรัมป์ใช้อำนาจจากกฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) โดยมิชอบ และขัดต่อรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ ในการประกาศเก็บภาษีนำเข้าครอบคลุมทั่วโลกเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา

คำสั่งที่ถูกระงับครั้งนี้ไม่ได้มีผลกระทบเฉพาะภายในสหรัฐฯ แต่สะเทือนต่อทั้งระบบการค้าโลก เพราะภาษีที่ถูกยับยั้งนั้นรวมถึงภาษีสินค้าจากจีน การตอบโต้ด้านยาเสพติดอย่างเฟนทานิลจากแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงมาตรการที่สั่นคลอนซัพพลายเชนทั่วทั้งเอเชียและยุโรป

สิ่งที่ศาลเน้นย้ำ คือ การใช้อำนาจภายใต้ IEEPA ต้องอยู่ภายใต้กรอบ “ความชอบธรรมของสถานการณ์ฉุกเฉิน” ไม่ใช่ถูกนำมาใช้เพื่อประกาศ "สงครามการค้า" ด้วยเหตุผลคลุมเครือ เช่น “ดุลการค้าเสียเปรียบ” หรือ “ภัยคุกคามจากต่างชาติ” แบบที่ทรัมป์เคยอ้าง

นี่คือสัญญาณแรงที่สถาบันตุลาการส่งไปยังฝ่ายบริหารในอนาคตว่า แม้อำนาจทางนโยบายจะกว้างขวางเพียงใด แต่ก็ต้องอยู่ในกรอบกฎหมายและไม่สามารถใช้โดยพลการ

แม้จะมีคำพิพากษา แต่เกมทางการเมืองยังไม่จบ รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้ทีมกฎหมายของทรัมป์ได้ยื่นอุทธรณ์ทันที และมีแนวโน้มที่คดีจะถูกนำขึ้นสู่ศาลสูงสุดในอนาคต ระหว่างนี้ ภาษีที่ถูกศาลตัดสินว่า “ผิดกฎหมาย” ไม่สามารถบังคับใช้ได้

แต่ตลาดการเงินไม่รอผลศาล นักลงทุนทั่วโลกเริ่มขานรับข่าวนี้ในเชิงบวก ดัชนีหุ้นและราคาสินทรัพย์เสี่ยงหลายประเภทปรับตัวขึ้นทันที ลดแรงกดดันเงินเฟ้อและต้นทุนการผลิตโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศที่พึ่งพาการส่งออกมายังสหรัฐฯ

อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้ โดนัลด์ ทรัมป์ ถูกวิจารณ์ และมีฉายาว่า “TACO trade” ที่สื่อ Financial Times ตั้งให้ ย่อมาจาก "Trump Always Chickens Out" หมายถึงเขามักประกาศมาตรการแรง ๆ ก่อนจะถอยในภายหลัง ซึ่งสร้างความปั่นป่วนในตลาดโดยไม่จำเป็น

คำสั่งของศาลศาลการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐฯ อาจเป็น “บันได” ให้ทรัมป์หาทางลง