ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

ต่อจาก EP 3

ในด้านชีวิตความเป็นอยู่ ผมฝันอยากเห็นคนไทยเท่าเทียมกัน อาจเป็นไปได้ยากในด้านฐานะทางสังคมหรือเศรษฐกิจ แต่อย่างน้อยต้องเท่าเทียมกันในความเป็นมนุษย์ อาชีพทุกอาชีพต้องได้รับการให้เกียรติ คุณค่าของอาชีพต้องมองกันที่บทบาทต่อสังคมส่วนรวมและความเป็นมืออาชีพ ไม่ใช่ตัดสินคุณค่ากันเพียงแค่รายได้ คนที่ทำงานให้แก่สาธารณะ เช่น พนักงานทำความสะอาดถนน คนขับรถขนขยะ หรือยามประจำชุมชน ต้องได้รับการให้เกียรติในฐานะผู้เสียสละทำงานที่ไม่มีใครอยากทำ

งานที่คนไทยไม่ต้องการทำ อาจเติมเต็มได้ด้วยแรงงานต่างด้าว แต่ต้องจัดระเบียบรวมถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้องให้สอดคล้องกัน ให้มีสัดส่วนที่เหมาะสม ได้รายได้ที่เหมาะสม และมีการเสียภาษีที่เหมาะสมและถูกต้อง เพื่อให้เป็นรายได้เข้าประเทศ

แต่ในขณะเดียวกัน ต้องมุ่งหน้าในการผลักดันให้คนไทยเป็น “เจ้าของกิจการ” โดยต้องผสานกันทั้งด้านการศึกษาเพื่อผลิตคน นโยบายด้านอุตสาหกรรม นโยบายด้านการค้า นโยบายด้านการคลัง นโยบายด้านการต่างประเทศ และกฎหมายของชาติ จะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ ถือได้ว่าเป็นการจัด “หน่วยเฉพาะกิจ” ที่จำเป็นต้องทำเพื่อก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง

ผมฝันเห็นศิลปินไทย เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาประเทศ เพราะคนไทยมีพรสวรรค์ด้านศิลปะ และควรได้รับการสนันบสนุนจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมาย และการทำตลาดในต่างประเทศ คำว่าศิลปินในที่นี้ไม่ได้จำกัดความอยู่แค่วงการนาฏศิลป์หรือศิลปินที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมเท่านั้น หากแต่ควรรวมถึงศิลปินร่วมสมัยที่มีความสามารถในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปะในรูปแบบสมัยใหม่ “เศรษฐกิจสร้างสรรค์ หรือ Creative Economy” เป็นหนึ่งสิ่งที่ควรเชื่อมโยงไปกับงานศิลปะ ยกตัวอย่างเช่น การพัฒนาตัวการ์ตูนลิขสิทธิ์ เพื่อให้เกิดเงินหมุนเวียนกลับมาสู่ศิลปินและประเทศ และสามารถผลักดันไปสู่การเสริมการท่องเที่ยวได้ด้วยเช่นกัน

ผมฝันเห็นการท่องเที่ยวของไทยมีการจัดระเบียบ โดยเฉพาะการท่องเที่ยวที่อาศัยทรัพทยากรธรรมชาติ เพราะทรัพยากรธรรมชาติเหล่านี้เมื่อใช้แล้วย่อมมีวันหมดหรือเสื่อมไปตามกาลเวลาและใช้เวลาอย่างมากในการฟื้นฟู ในขณะเดียวกันก็อยากเห็นประเทศไทยมีหนทางทางเศรษฐกิจที่หาเงินเข้าประเทศได้เป็นกอบเป็นกำนอกเหนือจากการท่องเที่ยว เพื่อหลีกเลี่ยงข้อจำกัดในยามที่การท่องเที่ยวไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้ การพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นเรื่องหลัก มองได้ว่า...เป็นเรื่องเสี่ยงและไม่ยั่งยืน

ผมฝันเห็นประเทศไทยเป็นผู้คิดและริเริ่มด้านการต่างประเทศ​ มิใช่มองหาแต่ช่องทางไหลลู่ตามลมอย่างที่เป็นมา แต่ต้องเดินเกมทั้งรุกและรับ หมั่นสร้างเวทีที่ตนจะมีบทบาท แต่ต้องคำนึงอยู่เสมอว่าเวทีที่จะสร้างนั้นจะส่งผลดีต่อผลประโยชน์ของชาติอย่างไร มิใช่สักแต่จะทำ ยังมีปัญหาของโลกและภูมิภาคอีกมากมายที่รอผู้นำ เช่น ปัญหาฝุ่นควันข้ามแดน เป็นต้น หากคิดใหญ่และกล้าทำ การเป็นผู้นำก็มิใช่เรื่องยาก ดังที่เราเคยทำได้ในอดีต

ผมฝันเห็นคนไทยมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ตั้งแต่ตื่นนอน ออกจากบ้านไปเรียนหรือทำงาน การเดินทาง อาหารการกิน ผู้คน จนกลับสู่บ้าน ต้องปลอดภัยจากอาชญากรรมทุกรูปแบบ ผมจึงฝันอยากเห็นตำรวจได้รับการดูแลอย่างเหมาะสมเช่นเดียวกับอัยการหรือศาล เพราะเป็นผู้ถือกฎหมายและเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการยุติธรรม หากอัยการและศาลได้รับการดูแลเพราะไม่ต้องการให้เกิดการคอร์รัปชัน หลักคิดเช่นเดียวกันก็ควรนำมาใช้กับตำรวจ ตำรวจจะได้กลายเป็นที่พึ่งของประชาชนได้อย่างแท้จริง เพราะไม่ต้องอาศัยเงินคอร์รัปชันเล็กๆน้อยๆ ไปจุนเจือครอบครัว และตำรวจจะมีกำลังใจดูแลประชาชน

ผมฝันอยากเห็นทหาร อยู่ในกรมกอง กองทัพจะมีขนาดใหญ่หรือเล็กไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่ควรพัฒนาไปสู่การเป็นทหารอาสาสมัคร เพื่อแก้ปัญหาด้านประสิทธิภาพของกำลังพลและปัญหาด้านสิทธิมนุษยชน เมื่อทำได้กองทัพจะเป็นที่รักของประชาชน การพัฒนากองทัพด้วยการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์เป็นสิ่งที่ควรทำ เพื่อให้ทันกับภัยคุกคามที่พัฒนาไปรายวัน แต่ต้องซื้อของที่จำเป็นและเป็นของที่จะได้ใช้ในอนาคต มิใช่ปัจจุบัน

กองทัพต้องหันหน้าออกนอกประเทศเป็นหลัก และเป็นหลักให้ประชาชนในยามที่โลกวุ่นวายเช่นนี้ โดยมุ่งเป้าในการพัฒนาทั้งบุคลากร เครื่องไม้เครื่องมือ ตลอดจนยุทธศาสตร์และยุทธวิธีในการป้องกันประเทศ ให้มีความทันสมัยอยู่เสมอ 

ข้าราชการและนักการเมืองต้องทำงานโดยเห็นประชาชนเป็นเจ้านาย มิใช่ผู้น้อยกว่าตน ต้องทำงานแบบรับใช้ วางตนให้ต่ำกว่าประชาชนมิใช่เหนือกว่า และต้องเป็นผู้อำนวยความสะดวกมิใช่ผู้คุมกฎ จึงจะได้รับการศรัทธาและเลื่อมใส และควรมีกระบวนการคัดเลือกที่เข้มข้นให้การเข้าเป็นข้าราชการเป็นเรื่องยากจะได้ได้ทั้งคนเก่งและคนดีเข้ามาดูแลประชาชน

สุดท้าย ผมฝันอยากเห็นคนไทย ให้เกียรติและเข้าใจซึ่งกันและกัน พยายามเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขไม่ว่าจะมีความคิดต่างกันอย่างไร ไม่มีใครเลือกเกิดมาอยู่ในจุดของตนเองได้ หากแต่เราเลือกจะคิดและทำได้ และแท้จริงแล้ว ความแตกต่างหลากหลายนี่แล ที่เป็นความสวยงามของประชาธิปไตย และนั่นคงเป็นฝันสุดท้ายที่อยากเห็น

น่าเสียดายที่พื้นที่ของผมน้อยไปหน่อย ประกอบกับมีเหตุการณ์ของโลกที่น่าสนใจมากมายเกิดขึ้นในช่วงนี้ จนผู้เขียนคิดว่า น่าจะต้องกลับไปเขียนเรื่องอื่นเสียบ้าง ผู้เขียนหวังว่าจะได้มีโอกาสแบ่งปันความฝันแก่ท่านผู้อ่านอีกในอนาคตข้างหน้า

ทุกท่านครับ แม้ว่าความฝันจะดูเหมือนสิ่งที่ไกล แต่หากเราไม่คิดจะทำให้ได้ มันก็จะไกลออกไปเรื่อยๆ และจะยังคงเป็นความฝันเรื่อยไปในยามตื่น เราต้องฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึงให้ได้ครับ

เอวัง