ข่าวปลอมที่เรามักได้เจอบ่อยๆ ในโลกออนไลน์ นอกจากเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ เคล็ดลับต่างๆ หรือสูตรยาต่างๆ นั้น ยังมีเรื่องเกี่ยวกับกับระบบสุรยะจักรวาลและดาวหางหรือปรากฏการณ์ต่างๆนอกโลก ที่อาจส่งกระทบกับโลก และข้อมูลเหล่านี้ก็มักจะเวียนกลับมาในช่วงเวลาต่างๆ
ศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ประเทศไทย เปิดเผยข้อมูลเมื่อเร็ว ๆ นี้ว่า เมื่อวันที่ 13 เมษายน 2568 ดวงอาทิตย์ได้ปลดปล่อยมวลสารโคโรนา (Coronal Mass Ejections: CMEs) ออกมาถึง 2 ระลอก ส่งผลให้เกิดพายุแม่เหล็กโลกระดับ G4 (รุนแรง) ซึ่งสามารถตรวจพบได้ในวันที่ 17 เมษายน 2568 เวลา 03:55 น. ตามเวลาประเทศไทย
โดยปกติแล้ว มวลสารจากการปลดปล่อย CMEs จะใช้เวลาประมาณ 1-3 วันจึงเดินทางมาถึงโลก ซึ่งข้อมูลจากการตรวจวัดลมสุริยะอย่างต่อเนื่องระบุว่า ความรุนแรงของพายุแม่เหล็กโลกในครั้งนี้เริ่มอ่อนตัวลง แต่ยังมีโอกาสเกิดพายุแม่เหล็กโลกในระดับ G1 ถึง G3 (ตั้งแต่เล็กน้อยไปจนถึงรุนแรง) ต่อเนื่องไปอีกระยะหนึ่ง
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากพายุแม่เหล็กโลกมี 3 ประการหลัก ได้แก่
แสงออโรราปรากฏชัดในพื้นที่ใกล้ขั้วโลก
อนุภาคมีประจุไฟฟ้าจากดวงอาทิตย์ที่พุ่งเข้าชนกับสนามแม่เหล็กโลก จะถูกเบี่ยงเข้าสู่บรรยากาศชั้นบนบริเวณขั้วโลก เมื่ออนุภาคเหล่านี้ปะทะกับแก๊สในบรรยากาศ จะปล่อยพลังงานออกมาในรูปของแสงสว่าง ทำให้เกิดแสงเหนือและแสงใต้ (Aurora) ซึ่งจะเห็นได้ชัดเจนในประเทศแถบละติจูดสูงเท่านั้น
ความเสี่ยงต่อระบบส่งไฟฟ้าและไฟดับในพื้นที่ใกล้ขั้วโลก
ความปั่นป่วนในสนามแม่เหล็กโลกสามารถเหนี่ยวนำกระแสไฟฟ้าที่พื้นผิวโลก กระแสไฟฟ้าที่เกิดขึ้นอาจส่งผลกระทบต่อระบบส่งไฟฟ้า เช่น ทำให้หม้อแปลงเสียหายและเกิดไฟดับในวงกว้าง ตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ไฟดับนานกว่า 9 ชั่วโมงในภาคตะวันออกของแคนาดา เมื่อปี 1989
ความเสี่ยงต่อระบบดาวเทียมและการสื่อสาร
อนุภาคจาก CMEs สามารถทำให้เกิดไฟฟ้าลัดวงจรในดาวเทียม ส่งผลให้ดาวเทียมเสียหาย นอกจากนี้ยังส่งผลกระทบต่อระบบนำทางและระบุตำแหน่ง (เช่น GPS) รวมถึงการสื่อสารทางวิทยุที่อาจเกิดสภาวะคลื่นขาดหายชั่วคราว (Radio blackout) จากการปล่อยรังสีแม่เหล็กไฟฟ้าอย่างรุนแรงในช่วงที่มีการลุกจ้าบนดวงอาทิตย์ (Solar Flare)
อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์พายุแม่เหล็กโลกในครั้งนี้ "จะไม่ส่งผลกระทบถึงประเทศไทย" ประชาชนสามารถติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับพายุแม่เหล็กโลกเพิ่มเติมได้ทางเพจเฟซบุ๊ก NARIT สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติ