แรงกดดันที่กำลังพุ่งเข้าใส่ “ผู้นำรัฐบาล” อย่าง “แพทองธาร ชินวัตร” ในฐานะนายกรัฐมนตรี ดูเหมือนว่าจะมาจากทุกทิศทุกทาง ทั้งความขัดแย้งภายในพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง
บวกกับการรับมือสถานการณ์ “กำแพงภาษี” ที่ “โดนัล ทรัมป์” ประธานาธิบดี ลุยนโยบายกำแพงภาษี ประกาศเก็บจากไทยสูงถึง 36 % เช่นเดียวกับอีกหลายสิบประเทศที่กำลังเผชิญกับภาวะวิกฤตเช่นนี้
ล่าสุดรัฐบาลไทยได้วางตัว “พิชัย ชุณหวชิร” รองนายกฯและรมว.คลัง พร้อมด้วย “พิชัย นริพทะพันธ์” รมว.พาณิชย์ เป็นหัวหน้าทีม เจรจาร่วมกับ “ทีมไทยแลนด์” โดยมีกำหนดการเข้าตัวแทนสหรัฐฯ ภายในสัปดาห์หน้า ซึ่งคาดว่าหลังวันที่ 20 เม.ย.
แน่นอนว่าการไปทำหน้าที่ของหัวหน้าทีมเจรจาของ พิชัย รองนายกฯรอบนี้ ถูกจับตามองว่าฝ่ายไทยได้ประโยชน์ กลับมาอย่างไรบ้าง และยังต้องไม่ลืมว่า กูรูด้านเศรษฐกิจ ,นักเศรษฐศาสตร์ ตลอดจนฝ่ายค้านเอง ยังแสดงความเป็นห่วงว่าไทยควรวางบทบาทของตนเองอย่างไร ในท่ามกลาง “สงครามการค้า” ไปพร้อมๆกับ “จุดยืน” ของไทยที่อยู่ระหว่างความขัดแย้งของ สหรัฐฯและจีน สองประเทศมหาอำนาจ
ขณะที่ ปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง โดยเฉพาะระหว่าง พรรคภูมิใจไทย ที่เพิ่ง “ทิ้งระเบิด” ก่อนปิดสมัยประชุมสภาฯ ก่อนเข้าเทศกาลสงกรานต์ที่ผ่านมา เมื่อ “ไชยชนก ชิดชอบ” เลขาธิการพรรคภูมิใจไทย ซึ่งเป็นลูกชายเจ้าของพรรค ชูจุดยืนไม่สนับสนุนร่างพ.ร.บ.เอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์ ทั้งที่เป็นร่างกฎหมายฉบับที่พรรคเพื่อไทยส่งสัญญาณเดินหน้าผลักดันมาอย่างชัดเจน
จากวันที่ ไชยชนกทิ้งบอมบ์กลางสภาฯ จนถึงวันนี้ ดูเหมือนว่ายังไม่มีใครเชื่อว่า “รอยร้าว” ระหว่าง 2พรรคใหญ่ที่อยู่ร่วมรัฐบาลจะไม่มีการ “เอาคืน” กันตามมาหลังจากนี้ แม้ “นายกฯอิ๊งค์” จะมี “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯ ทำหน้าที่เป็น “พี่เลี้ยง” แต่เขาเองก็ยืนอยู่ข้างเวที ไม่ได้มาขึ้นชกด้วยตัวเอง
และเหนืออื่นใด การส่งสัญญาณ จากไชยชนก ที่ประกาศ “ชน” กับ พรรคเพื่อไทยกลางสภาฯ นั้น ยังถูกมองข้ามช็อตไปถึง การสยายอำนาจจาก “เจ้าของพรรคตัวจริง” อย่าง “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ซึ่งไม่เพียงแต่ ไม่ด้อยไปกว่าทักษิณ แล้วยังมี “แต้มต่อ” อยู่ในมือ เหนือกว่า และยังเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะกล้า “ปรับออก” จากครม. จริงหรือ !?