เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

ในอดีต พระมหากษัตริย์ไทยทรงมี “สังคมในอุดมคติ” ที่ทรงอยากให้เป็นจริง ดังที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีแนวคิดในการปฏิรูปประเทศให้เป็นรัฐสมัยใหม่ตามแบบตะวันตก เพื่อรักษาเอกราชของชาติและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน

ลักษณะเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจที่มีพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์กลาง พระองค์ทรงปฏิรูประบบการปกครอง

จากระบบศักดินาแบบดั้งเดิม มาเป็นระบบราชการรวมศูนย์ (Centralized Bureaucratic State) โดยมีหน่วยงานที่ชัดเจน เช่น กระทรวง ทบวง กรม

ระบบกฎหมายและการบริหารแบบตะวันตก มีการออกกฎหมายสำคัญ เช่น กฎหมายลักษณะปกครอง ทหาร และ กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ รวมถึงการยกเลิกระบบไพร่และทาส เศรษฐกิจแบบทุนนิยมสมัยใหม่ มีการพัฒนาระบบโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การสร้างทางรถไฟ การ พัฒนาการค้าและอุตสาหกรรม และส่งเสริมให้ข้าราชการมีเงินเดือน แทนระบบไพร่

การศึกษาเพื่อพัฒนาข้าราชการและพลเมืองที่มีคุณภาพ มีการจัดตั้งโรงเรียนราชการและส่งคนไปเรียน ต่างประเทศ เพื่อให้มีบุคลากรที่สามารถบริหารประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ รัฐที่เป็นอารยะและได้รับการยอมรับจากนานาชาติ มีการปรับปรุงธรรมเนียมราชสำนักและการทูตให้ ทันสมัย โดยมีเป้าหมายให้สยามเป็นที่ยอมรับของชาติตะวันตก

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีแนวคิดรัฐชาติที่เน้น "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" และพยายามสร้างความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของประชาชน ทรงเน้นรัฐชาตินิยมและความรักชาติ ทรงส่งเสริมอุดมการณ์ "ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" และจัดตั้ง  ดุสิตธานี เมืองจำลองประชาธิปไตย เพื่อให้ข้าราชการฝึกฝนการปกครองตนเอง มีรัฐที่มีวินัยและจงรักภักดี ทรงจัดตั้ง เสือป่า และ ลูกเสือไทย เพื่อสร้างพลเมืองที่มีความจงรักภักดีและมีระเบียบวินัย รัฐที่มีพลเมืองที่ได้รับการศึกษาแบบตะวันตก ส่งเสริมการศึกษาแบบตะวันตกโดยเน้นทั้งการศึกษาไทย และการศึกษาอังกฤษ เช่น การตั้งโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย) รัฐที่มีระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ทรงส่งเสริมธุรกิจของคนไทยผ่านการจัดตั้งบริษัทปูนซีเมนต์ไทย  และธนาคารออมสิน เพื่อให้ประชาชนมีความมั่นคงทางเศรษฐกิจ รัฐที่มุ่งสู่ประชาธิปไตยแบบตะวันตก ทรงสนับสนุนแนวคิดประชาธิปไตยในระดับหนึ่ง เช่น การจัดตั้ง ดุสิตธานี เป็นการทดลองปกครองระบอบประชาธิปไตยในรูปแบบเมืองจำลอง รัชกาลที่ 5 มุ่งเน้นการสร้างรัฐราชการรวมศูนย์ที่มีประสิทธิภาพ รัชกาลที่ 6 เน้นการสร้างชาติที่มี เอกลักษณ์และจิตสำนึกความรักชาติ  แม้จะทรงมีแนวทางที่แตกต่างกัน แต่เป้าหมายของทั้งสองพระองค์ คือ การทำให้สยามเป็นรัฐที่มั่นคง ทัดเทียมอารยประเทศ และรักษาเอกราชจากการคุกคามของมหาอำนาจตะวันตก

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) ทรงไม่ได้มองสังคมในฝันสมบูรณ์แบบและปราศจากปัญหา แต่พระองค์ทรงมีแนวคิดที่เน้นความสมดุล และความพอเพียงในการพัฒนา

แนวคิดหลักของพระองค์เกี่ยวกับรัฐและสังคมในอุดมคติ คือ

สังคมที่พัฒนาอย่าง "พอเพียง" และยั่งยืน หนึ่งในแนวคิดสำคัญของพระองค์คือ เศรษฐกิจพอเพียง

ซึ่งเป็นแนวทางที่แตกต่างจากแนวคิดพัฒนาแบบตะวันตกที่มุ่งเน้นความมั่งคั่งและการเติบโตอย่างรวดเร็ว พระองค์ทรงเห็นว่าการพัฒนาที่ดีควรเริ่มจากฐานราก โดยเน้นการพึ่งพาตนเอง การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การพัฒนาที่ยั่งยืนและสมดุล

แนวคิดนี้สะท้อนว่าสังคมในอุดมคติของพระองค์ไม่ใช่สังคมที่มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดหรือทันสมัยที่สุด แต่เป็นสังคมที่ประชาชนสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมีคุณภาพชีวิตที่ดีและมั่นคง “พึงตนเองและมีความสุข”

2. สังคมที่มีคุณธรรมและจริยธรรม แนวคิดของพระองค์เกี่ยวกับ ความเพียร และ ความซื่อสัตย์ ปรากฏอย่างชัดเจนในพระมหาชนก ซึ่งเป็นงานเขียนเชิงปรัชญาที่ทรงเรียบเรียงขึ้นเอง 

"พระมหาชนก" ไม่ใช่เรื่องของยูโทเปียที่สมบูรณ์แบบ แต่เป็นเรื่องของบุคคลที่ต่อสู้กับอุปสรรคด้วยความพากเพียร โดยเน้นว่า การจะประสบความสำเร็จต้องใช้ความอดทนและความมุ่งมั่น การเป็นผู้นำต้องมีสติปัญญาและความรับผิดชอบ  การพัฒนาใด ๆ ต้องใช้เวลา และไม่มีทางลัดสู่ความเจริญ

แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าสังคมในอุดมคติของพระองค์ไม่ได้เป็นสังคมที่ทุกอย่างสมบูรณ์แบบตั้งแต่แรก แต่เป็นสังคมที่ประชาชนมีคุณธรรมและพร้อมทำงานหนักเพื่อสร้างอนาคตที่ดีขึ้น

3. สังคมที่อยู่ร่วมกันได้อย่างสมดุลและเป็นธรรม  พระองค์ทรงเน้นการพัฒนาที่ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ซึ่งสะท้อนผ่านโครงการพัฒนาต่าง ๆ ที่มุ่งช่วยเหลือเกษตรกรและคนยากจน เช่น โครงการพระราชดำริ ที่เน้นการพัฒนาท้องถิ่น  การบริหารจัดการน้ำเพื่อช่วยเกษตรกรในช่วงภัยแล้ง การพัฒนาเกษตรทฤษฎีใหม่ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ

พระองค์ทรงเห็นว่าความเจริญต้องเกิดขึ้นแบบมีสมดุล ระหว่างเมืองกับชนบท ระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม และระหว่างความเจริญทางวัตถุกับความสุขของประชาชน

ไม่ใช่สังคมที่ทุกคนร่ำรวยที่สุด แต่เป็นสังคมที่ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่มั่นคง  ไม่ใช่สังคมที่ไม่มีปัญหา แต่เป็นสังคมที่ประชาชนมีสติปัญญาและคุณธรรมในการแก้ปัญหา ไม่ใช่สังคมที่สมบูรณ์แบบในทันที แต่เป็นสังคมที่มีพัฒนาการอย่างยั่งยืน