ทีมข่าวคิดลึก หลังจากที่ รัฐบาล -คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ปล่อยให้ “กลุ่มคนอยากเลือกตั้ง” ออกมาเปิดเกมเขย่า อย่างต่อเนื่อง ท้าทายฝ่ายความมั่นคงกันในทุกสัปดาห์ ล่าสุด “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. ต้องออกโรง ยืนยันว่าวันเลือกตั้งจะมีขึ้นภายในวันที่ 9 พ.ค.นี้ อย่างแน่นอน “ วันนี้บ้านเมืองกำลังเดินหน้าไปสู่การเป็นประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ถึงอย่างไรก็จะมีการเลือกตั้งแน่นอน ไม่สามารถที่จะดึงอะไรต่อไปได้ การเลือกตั้งจะขยับไปมาก็แล้วแต่เหตุผล ซึ่งจะยังอยู่ภายในวันที่ 9 พ.ค.เพราะรัฐธรรมนูญเขียนไว้แล้ว ไม่อย่างนั้นก็ต้องแก้รัฐธรรมนูญใหม่ ซึ่งทำไม่ได้ เพียงแต่จะขยับไปมาอยู่ภายในกรอบ ถึงอย่างไรก็เลือกตั้งก่อน 9 พ.ค. และช่วงนี้จะมีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ขอให้ทุกคนช่วยกันทำให้บ้านเมืองสงบ” พล.อ.ประยุทธ์ ได้กล่าวตอนหนึ่งในระหว่างเป็นประธานในพิธีงานวันครู ปี 2562 ที่คุรุสภา เมื่อวันที่ 15 ม.ค. นั่นหมายความว่า “แรงเขย่า” จากกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่วางเกมเคลื่อนไหวตลอดหลายวันที่ผ่านมา กำลังสะท้อนให้เห็นว่าเป็นเกมที่ทำให้ฝ่ายรัฐบาลและคสช.เองไม่อาจนิ่งนอนใจ ปล่อยให้สถานการณ์คลี่คลายไปด้วยตัวเอง โดยที่ไม่ดำเนินการอย่างใด อย่างหนึ่ง โดยเฉพาะเมื่อปฏิกริยาเคลื่อนไหวคัดค้านการเลื่อนวันเลือกตั้ง กำลังขยายไปทั่วในหลายพื้นที่ ไม่ใช่เฉพาะในกทม. ซึ่งมีแกนนำหน้าเดิม คนเก่า นำขบวนจัดอีเว้นท์ในทุกอาทิตย์เท่านั้น แต่กลับพบว่า การเคลื่อนไหวในกทม. ได้ไปปลุกเร้าให้คนที่ไม่เอา คสช. คัดค้านเลื่อนการเลือกตั้งพากัน เปิดตัวเปิดหน้า ทำกิจกรรมประท้วงในเชิงสัญลักษณ์ ตามจังหวัดต่างๆ มิหนำซ้ำยังดูเหมือนว่า กระแสคัดค้านการเลื่อนเลือกตั้ง เริ่มบานปลายมากขึ้น เพราะถึงกับมีบุคคลเข้ามาประชิดตัว “รัฐมนตรี” ในครม. เพื่อแสดงการต่อต้านเชิงสัญลักษณ์ โดยเมื่อวันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีชายคนหนึ่ง อายุประมาณ 20 ปี ไปยืนชูสามนิ้วอยู่ด้านหน้าสื่อมวลชนที่กำลังสัมภาษณ์ “วิษณุ เครืองาม” รองนายกรัฐมนตรี ที่กำลังให้สัมภาษณ์อยู่บริเวณบันไดทางขึ้นอาคารบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยราชภัฏ(มรภ.)ลำปาง ซึ่งเป็นสถานที่ประชุมครม.สัญจร ที่จ.ลำปาง โดยเวลานี้เจ้าหน้าที่ฝ่ายคความมั่นคงกำลังเร่งหาตัวชายคนดังกล่าว แน่นอนการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง ที่จัดอีเว้นท์ เรียกแขก เชิญชวนให้คนออกมาร่วมชุมนุมเพื่อคัดค้านการเลื่อนวันเลือกตั้งนั้น ย่อมไม่สามารถมองได้เพียง มิติเดียว เพราะในความเป็นจริงแล้ว นี่คือการรุกคืบจากฝ่ายตรงข้ามคสช. ในจังหวะที่ “เป็นใจ” อยู่ไม่น้อย และจะสามารถ “ขยายผล” ออกไปยังพื้นที่ต่างๆ เสมือนเป็นการปลุกม็อบ และจะสามารถกลายเป็น “แฟลชม็อบ” ได้อย่างไม่ยากเย็น ฉะนั้นเมื่อการเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง กำลังผลิดอก เกิดผลเป็นรูปธรรมที่ชัดเจนแล้วว่า มี “แรงกระทบ”มากพอที่จะทำให้คสช. และรัฐบาล ต้องหันมาจับตา ขณะเดียวกันฝ่ายความมั่นคงเองก็ประเมินได้เช่นกันว่าแท้จริงแล้ว “เป้าหมาย” ของการออกมาเคลื่อนไหวของกลุ่มคนอยากเลือกตั้ง นั้นต้องการอะไร ! ?