ภายหลังจากที่ โดนัล ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ประกาศมาตรการทางภาษี เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส่งผลทำให้ทั่วโลก อยู่ในอาการโกลาหล เพราะต่างได้รับ ผลกระทบ กันไปถ้วนหน้า  หลังจากที่เฝ้าติดตามกันมาตั้งแต่รู้ว่าทรัมป์จะใช้ ไม้แข็ง ตอบโต้ทางภาษีกลับ ในหลายประเทศที่เชื่อว่า เอาเปรียบ สหรัฐฯ
         

เมื่อวันที่ 2 เมษายน68 ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศกำหนดมาตรการภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariff)  สำหรับมาตรการทางภาษีที่สหรัฐฯ กำหนดเก็บภาษีนำเข้าขั้นต่ำ 10% เริ่มมีผลวันที่ 5 เมษายน และเพิ่มเติมอัตราภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับบางประเทศตั้งแต่ 9 เมษายนเป็นต้นไปนั้น ปรากฏกว่า สหรัฐฯจะเก็บภาษีนำเข้า 34% จากจีน 20% จากสหภาพยุโรป, 25% จากเกาหลีใต้, 24% จากญี่ปุ่น และ 32% จากไต้หวัน 
       

สำหรับประเทศไทย  สหรัฐฯ จะเก็บอัตราภาษีสูงสุดที่ 36% ! ส่วนประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่าง เวียดนาม อยู่ที่ 46%, อินโดนีเซีย 32%, มาเลเซีย 24%, กัมพูชา 49%, เมียนมาร์ 44%และลาว 48%
       

 แต่ปรากฏว่า  มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในส่วนของ รัฐบาลไทย ว่ายังคงวางเฉย ไม่มีแอคชั่นใดๆออกมา  โดยเฉพาะจาก ผู้นำรัฐบาล อย่าง แพทองธาร ชินวัตร  ทั้งที่ประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบเหมือนไทยต่างมีความคืบหน้ากันไปแล้ว 
 

และจุดนี้เองที่ทำให้รัฐบาลไทย ถูกโจมตรีอย่างหนัก โดย ศิริกัญญา ตันสกุล มือเศรษฐกิจของพรรคประชาชน โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุก เปรียบเทียบภาพให้เห็น ว่า ทั้งเวียนดนาม ,กัมพูชา ,เกาหลีใต้ และสิงคโปร์ ออกมาสื่อสารกับประชาชนในประเทศ พร้อมเปิดการเจรจาแล้ว แต่ ไทยเอง นายกฯ กลับบอกว่า ไม่ต้องเป็นห่วง 

 และอาจเป็นที่มาที่ทำให้นายกฯแพทองธาร ต้องออกแถลงการณ์ฉบับที่2 เมื่อวันหยุดที่ 6เมษายนที่ผ่านมา ใจความว่า พิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯและรมว.คลัง จะเป็นผู้นำทีมเจรจาเป็นหัวหน้าคณะของฝ่ายไทย กับสหรัฐฯ 
 

เสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงท่าทีของผู้นำไทย ในยามวิกฤติทั้งเหตุการณ์ตึกสตง.ถล่ม มาจนถึงภาวะเศรษฐกิจระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ที่จะกระทบกับในประเทศมีแนวโน้มว่าจะรุนแรงมากยิ่งขึ้น และแน่นอนว่าหาก พรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไม่สามารถรักษาแนวรบด้านเศรษฐกิจที่เคยชูมาตลอดเอาไว้ได้ แรงกดดันที่จะมีต่อนายกฯแพทองธาร จะยิ่งทบเท่าทวีคูณ เพราะนี่คือ ของจริง  !