สถาพร ศรีสัจจัง

ประเทศไทยหรือ “สังคมไทย” นั้นไม่ได้เกิดจากกระบอกไม้ไผ่เหมือน “หนอนรถด่วน” (ที่หลายใครบอกว่าอร่อย!) แต่เกิดและพัฒนามาจากกลุ่มคนหลากหลายในพื้นที่ “สุวรรณภูมิแห่งอดีต” แม้การสืบสาวประวัติศาสตร์ชาติในท่วงทำนองของ “รัฐชาติ” อย่างที่รู้จักกันในยุคปัจจุบัน อาจทำให้รู้สึกว่าคำ “ชาติไทย” (ที่รู้จักกันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว) เพียงน่าจะเพิ่งเริ่มต้นเมื่อช่วงรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์นี่เอง ก่อนที่จะเป็นรูปธรรมยิ่งขึ้นในยุคสมัยของล้นเกล้ารัชกาลที่ 5!

แต่ถ้าพิจารณาจาก “วัฒนธรรมชาติพันธุ์” หลากหลายประการ โดยเฉพาะรากทาง “ภาษา” หรือ “วัฒนธรรมทางภาษา” แล้วก็จะพบว่า กลุ่มคนในพื้นที่ที่นักประวัติศาสตร์ปัจจุบันเรียกกันว่า “สุวรรณภูมิ” แห่งนี้  หลายกลุ่มมี “รากทางภาษา”ที่เรียกว่า “ภาษาไทย” ในปัจจุบันมานับเป็นพันๆปีแล้ว!

เฉพาะหลักฐานเรื่อง “ภาษาเขียน” ที่มี “ศิลาจารึกหลักที่ 1” ของพ่อขุนรามคำแหงแห่งกรุงสุโขทัยเป็นหลักฐานยืนยัน ก็ยังบอกถึงความเจริญของวัฒนธรรมด้านนี้อย่างเป็นที่ประจักษ์แล้วว่าชนกลุ่มนี้มี"ภาษาเขียน"ที่เป็นอักขรวิธีของตัวเองอย่างเผ่าชนอารยะของโลกทั้งหลายมาอย่างน้อยก็เกือบพันปีมาแล้ว!

ทำไมอยู่ๆจึงต้องยกเรื่อง “วัฒนธรรมทางภาษา” ของชาติพันธุ์(กลุ่มคนส่วนใหญ่)ที่อยู่ใน “รัฐชาติ” ที่เรียกกันว่า “ประเทศไทย” (Thailand)ปัจจุบันขึ้นมายกอ้างกัน?

ก็เพราะมีเรื่องที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจน “ยิ่งขึ้น” (แบบน่าเศร้าใจและน่าหมั่นไส้มาก)ในช่วงยามที่ “ประเทศไทย” กำลังเผชิญกับภัยพิบัติแผ่นดินไหวที่มีใจกลางการเกิดอยู่ที่กรุงมัณฑะเลย์ ประเทศพม่าเมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ว่า

“ภาษาไทย” ที่บรรพชนคนไทยคิดค้นกันมาอย่างยากลำบาก และผ่านกระบวนการพัฒนามาอย่างยาวนานนั้น กำลังจะล่มสลายลงเพราะกลุ่ม “ชนชั้นนำ” ในยุคปัจจุบันหรือเปล่า?

คือกลุ่ม “ชนชั้นนำ” ผู้มีอิทธิพลทางสังคมอย่างสูงยิ่งในทุกๆด้าน โดยเฉพาะต่อเยาวชน ที่หมายถึง คนตั้งแต่ระดับนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี ผู้ว่าราชการและรองผู้ว่าราชการเมืองใหญ่ๆอย่างกรุงเทพมหานคร นักวิชาการ จนถึง “ผู้ประกาศข่าว” และ “นักจัดรายการ” ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แทบจะทุกช่อง!

เกิดปรากฏการณ์อย่างกว้างขวางร่วมกันอย่างชัดเจนว่าเมื่อพวกเขาต้อง “แถลงข่าว” หรือพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับ “ภัยพิบัติ” แผ่นดินไหว ที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียทั้งชีวิต ทรัพย์สิน เงินภาษีราษฎร ฯลฯ อย่างสูงในครั้งนี้นั้น พวกเขาเลือกที่จะใช้การพูดเพื่อ “สื่อสาร” ตาม “วัฒนธรรมที่คุ้นชิน” ของพวกเขา อย่างไม่เรียนรู้หรือฝึกหัดจำแนกว่าสิ่งนั้นจะส่งผลต่อสังคมไทยอย่างไรหรือในด้านใดบ้าง

นั่นคือ พวกเขาใช้ภาษาต่างชาติ-โดยเฉพาะภาษาอังกฤษ ผสมผสานกับภาษาไทยอย่างไม่จำเป็น!

นั่นคือที่มาของคำตอบที่ว่า ทำไมชื่อเรื่องของบทความนี้จึงตั้งไว้ว่า “ภัยพิบัติ-ไทยวิบัติ”

“ไทยวิบัติ” ในที่นี้หมายถึง ความวิบัติทางวัฒนธรรมของประเทศไทย โดยเฉพาะ “วัฒนธรรมทางภาษา”!

ตัวอย่างที่เห็นชัดเจนที่สุดก็คือถ้อยแถลงของผู้มีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีจากคนใน “ตระกูลนายกฯ” นาม “อุ๊งอิ๊ง-แพทองธาร  ชินวัตร”!

ถ้าใครได้มีโอกาสฟังท่านแถลงกรณีภัยพิบัติครั้งแรกจากจังหวัดภูเก็ต(ตอนเกิดเหตุการณ์ท่านติดประชุมสำคัญอยู่ที่นั่น)ก็จะเห็นว่า น่าจะเป็นเรื่องปกติของท่านในการแถลงข่าวทุกครั้ง ที่มักจะมีคำ “ภาษาอังกฤษ” แทรกปนอยู่กับภาษาไทยเสมอๆทั้งนี้อาจจะเป็นเพราะความคุ้นชินในฐานะนักเรียนนอก(หรือเพราะอยากให้ดูว่าทันสมัย?)

ท่านแถลงผ่านสื่อซึ่งคนทั้งประเทศ(รวมทั้งเยาวชน)คงจะได้ดูได้ฟังกันอย่างกว้างขวาง เพราะส่งผ่านทีวี.น่าจะแทบทุกช่อง(และน่าจะสื่ออื่นๆด้วย)

เท่าที่ฟังเร็วๆ จำได้ว่า ครั้งนี้ท่านแทรกคำภาษาอังกฤษที่เป็น “คำหลัก” สำคัญของการแจ้งแถลงข่าวครั้งนี้อยู่คำหนึ่ง คือคำว่า “รีจิสเตอร์” (Register)อย่างน้อยก็พูดซ้ำถึง 2 ครั้ง

ไม่แน่ใจว่า เพราะท่านไม่รู้ว่า คำนี้มี “คำไทย” ที่ชาวบ้าน(รวมถึงนักวิชาการที่เห็นความสำคัญของอัตลักษณ์ทางภาษา)ใช้กันมานานมากแล้วว่า “ลงทะเบียน” (หรือเป็นเพราะความคุ้นชินในวัฒนธรรมการใช้ภาษาแบบ “คนเจน วาย” ที่นิยม “ความทันสมัย”)

ท่านอาจจะลืมคิดไปว่าท่านกำลังพูดให้ “สาธารณะ” คือคนไทยทั้งชาติฟัง เพื่อให้ได้รับ “สาร” ด้วยความเข้าใจที่รวดเร็วและตรงกัน

คนไทยเกือบ 70 ล้านคนนั้น ยังมีคนที่ไม่สามารถเข้าใจภาษาอังกฤษที่ท่านใช้(ชนชั้นนำที่มีการศึกษาสูงอย่างท่านอาจคุ้นชินกับภาษานี้มากกว่าภาษาไทย?) อีกเป็นจำนวนมาก เช่น คนไทยที่เป็น พ่อแม่ ปู่ย่าตายายและญาติมิตร ของบรรดาผู้ใช้แรงงาน(ทั้งที่เสียชีวิตและบาดเจ็บ)ในซากตึก สตง.ที่ถล่ม ที่ส่วนใหญ่เป็นพี่น้องชาวอีสานนั้น จะมีสักกี่คนที่เข้าใจคำนี้?

ยังมีคนอีกหลายสิบล้านคน ที่อยู่ในชนบท เช่น ที่บ้านหนองหมาว้อในภาคอีสาน ที่บ้านขุนห้วยต้นผึ้ง ภาคเหนือ ที่แถบเหมืองปิล๊อก ภาคตะวันตก ที่เกาะเปริด ภาคตะวันออก ที่มะนัง-ควนกาหลง หรือที่ตะเครี๊ยะ ในภาคใต้ ฯลฯ

ที่เขาไม่สามารถจะเข้าใจความหมายของคำ “รีจิสเตอร์” ที่ท่านนายกฯพูดหลายครั้งนั้นได้เลย!

ถ้าท่านนายกฯอุ๊งอิ๊ง ชินวัตร จะกรุณาพูดคำว่า “ลงทะเบียน” แทนคำ “Register” มันจะทำให้เกิดความเสียหายอะไรต่อท่านและต่อประเทศไทยนักหรือ?

ประการสำคัญที่สุดก็คือ ท่านต้องไม่ลืมว่า ท่านกำลังดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี(หญิงไทยรุ่นใหม่?)ผู้มีอำนาจในการบริหารสูงสุดของประเทศ  เป็น “ต้นแบบ” และ เป็น “ผู้ทรงอิทธิพล” (Influencer) ที่เยาวชนจำนวนไม่น้อยอาจอยาก “เลียนแบบ” ตามท่านคงต้องถามตัวเอง(หรือปรึกษาโค้ช)ได้บ้างแล้วละกระมัง ว่าคำ “ภัยพิบัติ” กับคำ “ไทยวิบัติ” นั้น มีความเหมือนหรือมีความต่างกันอย่างไรหรือเปล่า?!!!!