ควันหลงจากศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจที่เพิ่งปิดฉากลงไป  นอกเหนือไปจากการที่ “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะอยู่ในอาการ “ใจฟู” เพราะได้คะแนนโหวตผ่านฉลุย 319 เสียงแล้ว ยังเกิดความเคลื่อนไหวที่น่าสนใจ ตามมา ด้วยเหตุที่เกิดกลิ่นไอของการ “ต่อรอง” ตามมาเขย่า ด้วยคำถามว่าด้วยการ “ปรับครม.” !

            การประชุมครม. เมื่อวันที่ 27 มี.ค.68 ที่ผ่านมา พบว่า สื่อพากันไปซักถามถึง “ความเป็นไปได้” ที่จะมีการปรับครม. จากบรรดารัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก  โดยพ่วงเอากรณีที่ การโหวตเทคะแนนให้กับนายกฯแพทองธาร เมื่อวันที่ 26 มี.ค.มี “งูเห่า” ปรากฏตัวด้วยกันถึง 7 เสียง ซึ่งล้วนแล้วแต่มาจากพรรคในปีกฝ่ายค้านทั้งสิ้น

            ไม่ว่าจะเป็นจากพรรคไทยสร้างไทย ที่มากสุดถึง 5 เสียงโดยไม่สนใจว่า จะเจอบทลงโทษอย่างใดอย่างหนึ่งตามมาหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีจากพรรคพลังประชารัฐ และจากพรรคไทยก้าวหน้า 1 คน คือ “สส.ปูอัด” ไชยามพวาน มั่นเพียรจิตต์ สส.กทม. ที่ยังมีคดีติดตัวอยู่ที่จ.เชียงใหม่

            แน่นอนว่า คนที่แสดงฝีมือในการดีล “7 สส.งูเห่า” มาในครั้งนี้ ย่อมไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจาก “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” สส.พะเยา พรรคกล้าธรรม เพราะอย่าลืมว่าร.อ.ธรรมนัส เป็นคนพูดเรื่องนี้ด้วยกันมาแล้ว สองรอบ

            แต่ดูเหมือนว่า “ผลงาน” ที่ร.อ.ธรรมนัส จะไม่ได้รับการยอมรับจาก นายกฯแพทองธาร และรัฐมนตรีที่เป็นแกนนำจากพรรคเพื่อไทย แต่อย่างใด จะด้วยเพราะไม่ต้องการ เข้าไปเกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การถูกตรวจสอบตามมา หรือจะเป็นเพราะ ในปีกของนายกฯแพทองธาร เองยังไม่ต้องปรับครม. หากจะมีการใช้ประเด็นเรื่อง “สส.งูเห่า” มาเป็นส่วนหนึ่งของการจัดสรรโควต้าเก้าอี้รัฐมนตรี ในครม.กันใหม่

            ด้วยเหตุนี้ “สรวงศ์ เทียนทอง” รมว.ท่องเที่ยว ในฐานะเลขาธิการพรรคเพื่อไทย “สมศักดิ์ เทพสุทิน” รมว.สาธารณสุข  หรือ “ประเสริฐ จันทรรวงทอง” รมว.ดีอีเอส ต่างประสานเสียงว่า ความจริงแล้วรัฐบาลมีเสียงข้างมากอยู่ในมือ ไม่จำเป็นที่จะต้องไปหา สส.งูเห่า มาช่วยโหวตนายกฯแต่อย่างใด

            เช่นเดียวกับที่ นายกฯ แพทองธาร พูดชัดเจนเป็นครั้งที่สอง  หลังจากตอบคำถามสื่อเมื่อวันโหวตลงมติ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยนายกฯ ระบุว่า

            “ จริงๆเสียงรัฐบาลเราเหลือเฟืออยู่แล้ว ถ้าต้องซื้อก็เสียดายตังค์เหมือนกันใช่ไหม มันเหลือเฟือแล้วถ้าไปซื้ออีกก็เสียดายตังค์ มันไม่ใช่คอมมอนเซนส์นะ เราจะไปซื้ออีกทำไม ในเมื่อเราเหลือแล้ว ก็ประหยัดตังค์ไว้ไม่ดีกว่าหรือ” (27 มี.ค.68)

            อย่างไรก็ดี ในทุกการปรับครม.แต่ละครั้ง ผู้นำรัฐบาลเองแทบไม่เคยส่งสัญญาณ มาให้สื่อรับรู้ด้วยซ้ำ เพียงแต่ครั้งนี้ หากจะมีการปรับครม.เกิดขึ้นจริง หลังเสร็จศึกซักฟอก หากให้อ่านใจของนายกฯแพทองธาร เองแล้วคงต้องการปรับเพื่อให้เพิ่มคะแนนให้กับรัฐบาลมากกว่า ส่วน “แกนนำพรรคร่วมฯ” เอง โดยเฉพาะในปีกพรรคเพื่อไทย คงไม่มีใครต้องการให้ “เฉือนที่นั่ง”  แล้วไปแบ่ง ไปเกลี่ยเพิ่มให้กับพรรคใด พรรคหนึ่งอีก !