รศ.ดร.สุขุม เฉลยทรัพย์

ที่ปรึกษาอธิการบดีมหาวิทยาลัยสวนดุสิต

ช่วงสองวันมานี้บรรยากาศการเมืองไทยกลับมาคึกคักกันสุดสุดอีกครั้ง สืบเนื่องจากการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อพิจารณาญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีตั้งแต่วันที่ 24 มี.ค. เพียงเริ่มต้นจากผู้นำฝ่ายค้าน “นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ” หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) ก็โปรยหมัดเด็ดแล้วว่า “หากใครนอนหลับไปตั้งแต่หลังการเลือกตั้งเดือน พ.ค. 2566 แล้วตื่นลืมตาขึ้นมาอีกทีวันนี้ คงได้แต่แปลกใจว่าทำไมทุกอย่างยังเหมือนเดิม ไม่ต่างอะไรกับรัฐบาลจากคณะรัฐประหาร คำตอบที่อธิบายทุกอย่างได้คือ รัฐบาลชุดนี้เริ่มต้น ดำรงอยู่ และเดินหน้าเพื่อให้เกิด "ดีลแลกประเทศ" ... ประเทศและประชาชนต้องรอไปก่อน ใกล้วันเลือกตั้งค่อยมาปรับบทละครกันอีกที (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.bbc.com/thai/articles/cwynzk7jj36o)

“วลีทางการเมือง” หมายถึง คำพูดหรือประโยคที่นักการเมือง นักเคลื่อนไหว หรือสื่อมวลชนใช้ในการสื่อสารแนวคิดทางการเมือง สร้างอิทธิพลต่อความคิดเห็นของประชาชน หรือกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมือง วลีทางการเมืองมักสั้น กระชับ และมีพลังในการโน้มน้าวใจ ซึ่ง “วลีทางการเมือง” กับ “วาทกรรมการเมือง” ไม่เหมือนกันแต่ก็คล้ายกันในแง่ของการสร้างการเปลี่ยนแปลงได้

สำหรับความหมายของ “วาทกรรมทางการเมือง” คือชุดของแนวคิด ภาษา และวิธีการสื่อสารที่ใช้เพื่อสร้างความสนใจและความสำคัญในกิจกรรมของการสื่อความหมายทางภาษา การแสดงความคิดทางการเมือง โดยมีการถ่ายทอดเพื่อรักษาหรือนำการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดกรอบความคิดของประชาชนเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ

ลักษณะสำคัญของวลีทางการเมือง 1) กระชับและจดจำง่ายเพื่อให้ผู้ฟังหรือประชาชนสามารถเข้าใจและนำไปใช้ต่อได้ง่าย
2) โน้มน้าวและปลุกเร้าอารมณ์ ซึ่งอาจสร้างความหวัง ความโกรธ หรือความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียว 3) สะท้อนอุดมการณ์หรือแนวคิดทางการเมือง เพื่อใช้ในการสื่อสารอุดมการณ์ของพรรคการเมือง กลุ่มเคลื่อนไหว หรือรัฐบาล 4) มีบริบทเฉพาะทางการเมือง โดยวลีบางอย่างอาจมีความหมายเฉพาะเจาะจงในช่วงเวลาทางการเมืองนั้น ๆ

“วลีทางการเมือง จะนำไปในการหาเสียงเลือกตั้ง การประท้วง การเคลื่อนไหวทางการเมือง การสื่อสารของรัฐบาล และการโฆษณาชวนเชื่อทางการเมือง”

ดังเช่นวลีเด็ดทางการเมืองล่าสุดที่เล่นเอางงและวุ่นวายกันทั้งสภาฯ ในการประชุมอภิปรายไม่ไว้วางใจ หลัง สส.วิโรจน์
ลักขณาอดิศร พรรคประชาชนพูดคำว่า "กีกี้" กลางที่ประชุม จนปั่นป่วนประท้วงกันไม่หยุด และงานนี้ก็เล่นเอา “คน” เกือบทั้งสภาฯ
“งงในงง” ต้องลงมางมขุดหาความหมายของคำนี้กันยกฝ่ายไม่ว่ารัฐบาลหรือฝ่ายค้าน แต่เหตุการณ์นี้กลับส่งผลบวกพร้อมกับการเกิดภาพ
จำใหม่พุ่งตรงมาที่ “นายภราดร ปริศนานันทกุล” รองประธานสภาผู้แทนราษฎรคนที่ 2 ของสภาผู้แทนราษฎรไทย ชุดที่ 26 ที่กลายเป็นจุดสนใจในฐานะผู้ควบคุมสถานการณ์ ด้วยท่าทีนิ่ง เด็ดขาด และมีวุฒิภาวะ สะท้อนถึงบทบาทสำคัญของนักการเมืองรุ่นใหม่ที่น่าชื่นชมยิ่งนัก

“ประธานขอให้ที่ประชุมอยู่ในความสงบ และวินิจฉัยว่า เมื่อมีการถอนคำว่า หยาบโลนแล้ว ก็ถือว่าจบ แล้วจะให้รัฐมนตรีได้อภิปรายต่อ ส่วนคำว่า “กีกี้” นั้นหมายความว่าอย่างไร ซึ่งทั้งฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล ต่างมองความหมายต่างกันไป ให้ประชาชนไปตีความกันเอง ขอให้จบประเด็นนี้ เนื่องจากไม่ต้องการให้การอภิปรายยาวไปถึงเวลา 05:30 น.” จากนั้น ที่ประชุมเริ่มมีความวุ่นวาย ซึ่งนายภราดรสั่งให้ทุกคนนั่งลง ก่อนที่จะลุกขึ้นยืน และสั่งเจ้าหน้าที่ปิดไมค์เพื่อความสงบ (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.matichon.co.th/politics/
news_5107651)

คำว่า "กีกี้" มีหลายคนออกมาชี้แจงในความหมายที่แตกต่างกัน เช่น นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมาย โพสต์วิจารณ์ว่า “กีกี้” เป็นคำแสลงจากภาษาจีน “จีจี้” หมายถึงอวัยวะเพศหญิง พร้อมตำหนิว่าเป็นคำหยาบและไม่ให้เกียรติสตรีและสมาชิกรัฐสภา หรือนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมก็บอกว่าเป็นภาษาตากาล็อกในความหมายเดียวกัน แต่ในอีกความหมายก็บอกว่ากลุ่มคนที่รู้จักคำว่า “กีกี้” ดีก็ต้องเป็นกลุ่มคนเจน Baby Boomer เจน X และเจน Y หรือคนที่มีอายุราว ๆ 31 ปีขึ้นไป เพราะคำว่า "กีกี้" เป็นเสียงร้องลูกกระจ๊อกของเหล่าสมุนตัวร้ายในภาพยนตร์ "เคแมนไรเดอร์" (Kamen Rider) หรือ “ไอ้มดแดง” ซึ่งเป็นภาพยนตร์แนวโทคุซัทสึ ผลงานของอาจารย์โชทาโร่ อิชิโนะโมะริ ที่ฉายครั้งแรกที่ญี่ปุ่นตั้งแต่ปี พ.ศ. 2514  (อ่านเพิ่มเติมที่ https://www.thaipost.net/x-cite-news/761707/ / https://www.matichon.co.th/politics/news_5107879)

ความวุ่นวายสับสนจากการอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีที่เกิดจากการใช้วลีทางการเมือง “กีกี้” กลายเป็นปมขัดแย้งและวุ่นวายกลางสภาฯยามดึก การตีความหมายก็แล้วแต่เจตนาของนักการเมืองแต่ละคนว่าจะ “ลาก” ความหมายไปลงตรงจุดไหนที่ตนเองจะได้เปรียบเสียเปรียบ แต่ทั้งหมดทั้งปวงนี้ก็คงต้องขึ้นกับคนฟังว่าจะเทใจเชื่อใจมั่นใจไปให้กับนักการเมืองคนใด โปรดใช้ทักษะสำคัญแห่งยุค “Critical Thinking” กันเองเถอะครับ!!