ทวี สุรฤทธิกุล
สังคมไทยเคย “เก็บกด” และ “ระเบิด” มาหลายครั้ง
ผู้เขียนเติบโตเป็นวัยรุ่นมาในช่วงที่สังคมไทยกำลัง “คร่ำครวญหาประชาธิปไตย” คือช่วงก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์ “วันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516” ยังจำความความรู้สึกในช่วงนั้นได้ว่า อารมณ์ที่ “รุ่มร้อนและคุกรุ่น” นั้นเป็นอย่างไร และเมื่อมัน “ระเบิด” ออกมาแล้วได้ความรู้สึกอย่างไร
วันหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน 2515 ท่ามกลางข่าวอันเป็นมงคลถึงพระราชพิธีสถาปนาสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ที่จะมีขึ้นในเดือนธันวาคมปีนั้น ศูนย์กลางนิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทยที่นำโดยนายธีรยุทธ บุญมี ได้จัดการเดินขบวนเพื่อต่อต้านการซื้อและใช้สินค้าญี่ปุ่น โดยได้มาชุมนุมกันอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล บังเอิญโรงเรียนของผู้เขียนอยู่ใกล้ๆ เมื่อได้ข่าวก็พาเพื่อนไปดู และร่วมรับฟังการปราศัยของผู้นำการชุมนุมหลายคน ความรู้สึกแรกก็คือ “ทำไมพวกเขา(นิสิตนักศึกษา)จึงมีความกล้าหาญขนาดนี้” คือกล้าที่จะเผชิญหน้ากับเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจที่มารายล้อมป้องกันทำเนียบด้วยอาวุธครบมือ (มีคนบอกว่ามีแต่ปืน ไม่มีกระสุนหรอก เจ้าหน้าที่ไม่กล้ายิงประชาชนหรอก) ครั้นได้ฟังการพูดโจมตีรัฐบาลอยู่สักระยะหนึ่ง ก็เริ่มจับประเด็นได้ว่า นี่เขา(คนที่ปราศัย)กำลัง “ด่า” รัฐบาลทหาร รวมถึงการโน้มน้าวใจให้เห็นความสำคัญของเยาวชน “คนรุ่นใหม่” ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงประเทศชาติไปสู่สังคมที่ดีกว่า
การชุมนุมต่อต้านสินค้าญี่ปุ่นดำเนินอยู่ไม่กี่วัน โดยจบลงอย่างสงบ แต่สิ่งที่ตามมาก็คือความรู้สึก “รักชาติ” แต่ “เกลียดรัฐบาล” อันเป็นความรู้สึกที่ “ไม่เคยมีมาก่อน” (ซึ่งตามทฤษฎีจิตวิทยาบอกว่า วัยรุ่นคือวัยแห่งการเปลี่ยนแปลงทั้งร่างกายและจิตใจ โดยสามารถรับความรู้สึกใหม่ๆ ได้เร็ว และจะเปลี่ยนพฤติกรรมไปตามความรู้สึกต่างๆ ได้ง่าย) นักเรียนหลายคนในโรงเรียนที่ผู้เขียนเรียนอยู่พากันไปซื้อเสื้อและกางเกงที่ทำด้วยผ้าฝ้ายมาใส่แทนเสื้อและกางเกงที่ทำจาก “ผ้าโทเร” ของญี่ปุ่น รวมถึงซึมซับเอาความรู้สึกที่ต่อต้านรัฐบาลเข้าไปในหัว จนกระทั่งมีการเรียกร้องรัฐธรรมนูญในต้นเดือนตุลาคม ๒๕๑๖ คนที่แจกใบปลิวเรียกร้องถูกจับไปขัง ตามมาด้วยการชุมนุมที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข่าวการ “ล็อคประตูห้องสอบ” ของที่นั่นทำให้ผู้เขียนเกิดความรู้สึกฟื้นคืนมาว่า “นักศึกษาช่างกล้ายิ่งนัก(อีกแล้ว)” แล้วความรู้สึกนี้ก็พาผู้เขียนไปร่วมชุมนุมกับนักเรียนและนิสิตนักศึกษาเรือนหมื่นที่รวมตัวกันอยู่ในสนามฟุตบอลที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้น ซึ่งคงจะมี “อารมณ์และความรู้สึก” ในลักษณะเดียวกันนั้นด้วย
ผู้เขียนไม่ขอเล่ารายละเอียดและตอนจบของเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 แต่อยากจะนำเสนอข้อสังเกตจากการที่ได้ติดตามการเมืองไทยมากเกือบครึ่งศตวรรษ ไม่เฉพาะแต่ในวันมหาวิปโยค แต่ความรุนแรงทางการเมืองในประเทศไทยทุกครั้งก็จะดำเนินไปเช่นนั้นเสมอ ว่าอารมณ์ของสังคมที่ถูก “กดทับ” นั้น มันจะสะสมเป็น “พลังระเบิด” ที่รุนแรงได้เสมอ โดยที่ “ตัวจุดระเบิด” อาจจะเป็นเพียง “เรื่องเล็กๆ” ที่ไม่เกี่ยวกับสภาพปัญหาของการเมืองในช่วงนั้นโดยตรง แต่เมื่อมีการนำไป “กระจายข่าว” เชื่อมโยงกับปัญหาทางการเมืองในช่วงนั้น ก็อาจนำมาซึ่ง “แรงระเบิดอันมโหฬาร” ดังที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งนั้นได้
ว่ากันว่า “ตัวจุดระเบิด” ของวันมหาวิปโยค 14 ตุลาคม 2516 นั้นก็คือข่าวการล่าสัตว์ที่ทุ่งใหญ่นเรศวรในต้นปี 2516 โดยกลุ่มข้าราชการที่ใช้เฮลิคอปเตอร์และอาวุธของทางราชการ “ฆ่าเล่น” สัตว์ป่าจำนวนมาก นำมาซึ่งการโจมตีความ “ไร้ศีลธรรม” ของรัฐบาลทหารอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้ปลุกเร้านิสิตนักศึกษาให้ตื่นตัวและแสดงความกล้าหาญในการเรียกร้องรัฐธรรมนูญ จนลุกลามและจบสิ้นเป็นความ “มหาวิปโยค” ดังกล่าว ต่อมาในเหตุการณ์เดือนพฤษภาคม 2535 ทหารที่เคยได้รับการยอมรับประชาชนในตอนที่ทำรัฐประหาร 23 กุมภาพันธ์ 2534 ว่า จะมา “ล้างคราบการเมืองสกปรก” แต่เมื่อทหารหันไปคบกับนักการเมือง “สีเทา” ที่เอาชนะเลือกตั้งเข้ามา แล้วให้ทหารอยู่ในอำนาจต่อไป โดยที่ทหารก็ “ไม่ละอาย” ต่อการเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากภาพที่เคย “น่ารัก” ไปสู่ภาพที่ “หน้าทน” เมื่อมีการชุมนุมต่อต้านในต้นเดือนเมษายน จึงมีผู้ร่วมชุมนุมเป็นจำนวนมาก และนำมาซึ่ง “การจลาจล” อยู่ถึง5๕ วัน ที่มีผู้บาดเจ็บล้มตายและสูญหายเป็นจำนวนมาก ซึ่ง “ตัวจุดระเบิด” ของเหตุการณ์นี้ก็คือ “การท้าทายอารมณ์ของสังคม” นั่นเอง
หลายคนคงจำเหตุการณ์ “การชุมนุมล้อมทำเนียบ 194 วัน” ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ “ม็อบเสื้อเหลือง – มือตบ” ในปี 2549 อันนำมาซึ่งการทำรัฐประหารของทหารในวันที่ 19 กันยายนในปีนั้นได้ ซึ่ง “ตัวจุดระเบิด” ก็คือการขายหุ้นของกลุ่มชินให้แก่บริษัทเทมาเส็กของสิงคโปร์ โดยไม่ได้เสียภาษีให้กับประเทศไทยสักสลึงเดียว ในตอนต้นปี 2549 นั้นเอง และล่าสุดในการชุมนุม “ชัตดาวน์กรุงเทพฯ” ตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2556 อย่างต่อเนื่องมาถึงการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ก็เป็นเพราะสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติในพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม “ฉบับสุดซอย” ในเวลาตีสามกว่าของวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งได้กลายเป็น “ตัวจุดระเบิด” คือสร้างอารมณ์โกรธแค้นรัฐบาลเป็นอย่างมาก แล้วก็นำมาซึ่งการชุมนุมอย่างยืดเยื้อ นำมาซึ่ง “วงจรอุบาทว์” คือการกลับมาทำรัฐประหารของทหารดังกล่าวนั้น
ถ้ามองให้ลึกๆ อาจจะเห็นว่า ทหารคณะนี้ (คสช.) อาจจะมี “ชะตากรรม” คล้ายกันกับ คณะทหารในปี 2534 – 2535 (รสช.) ที่ “ความน่ารัก” ได้กลายเป็น “ความอัปลักษณ์” ส่วนหนึ่งก็คือการทำให้คนไทยผิดหวังในเรื่องของการปฏิรูปการเมือง แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือ การที่ทหารคณะนี้ “เย้ยหยัน” ความรู้สึกของผู้คนว่า “คงไม่กล้าทำอะไร” และที่น่ากลัวที่สุดก็คือ การพยามยามสืบทอดอำนาจบนฐานการเมือง “เน่าๆ” ที่รอวันพุพังและ “อาจจะ” นำมาซึ่ง “หายนะ” ของสังคมไทย อย่างที่เคยเป็นมาแล้วในอดีต
แต่ว่าอะไรเล่าที่จะเป็น “ตัวจุดระเบิด” ของหายนะครั้งที่กำลังจะมาถึงนี้