สถาพร ศรีสัจจัง
“กวีการเมือง” หรือ นักคิดนักเขียนนักปฏิวัตินาม “จิตร ภูมิศักดิ์” ได้นำเสนอเรื่องราว (content)ผ่านรูปแบบ (form) “บทกวีฉันทลักษณ์ร่วมสมัยแบบไทย” (Traditional contemporary poetrys)ที่สง่างามทรงพลัง ในประเด็นที่เกี่ยวกับการเข้ามามีอิทธิพลของ “วัฒนธรรมเทศ” (ตะวันตก)
โดยเฉพาะ “วัฒนธรรมแบบอเมริกัน” ที่ส่งผ่านโดยตรงมาทาง “ทหารอเมริกัน” ที่เข้ามาตั้งฐานทัพเพื่อทำสงครามอินโดจีนในเวียดนาม และบรรดาที่ปรึกษาด้านต่างๆที่เข้ามาในนาม “ความมั่นคง” (ต่อต้านลัทธิคอมมิสนิสต์) และ ผ่าน “แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ” (เริ่มใช้แผนระยะที่หนึ่งในปี 2504)
ในกวีนิพนธ์เรื่อง “คาวกลางคืน” “กวีการเมือง” สะท้อนเนื้อหาโดยองค์รวมชี้ให้เห็นว่า ผลที่เกิดตามมาจากอิทธิพลของวัฒนธรรมแบบเสรีนิยมดังกล่าว ทำให้สังคมไทยเกิดความเสื่อมทรามทางสังคม เปลี่ยนจากสังคมที่เคยสงบร่มเย็น มีจารีตประเพณีและจริยธรรมที่ดีงาม ผู้คนโดยทั่วไปดำรงชีวิตอยู่ “ในศีลในธรรม” เกรงกลัวบาปและละอายต่อความชั่ว ฯลฯ เริ่มกลับกลายเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยการกระตุ้นกิเลสอย่างหยาบ
ในบทกวี “คาวกลางคืน” กวีเน้นหนักให้เห็นในเรื่อง “ความเห็นแก่เงิน” ที่มากขึ้นและความฟอนเฟะเรื่องกามารมณ์ของผู้คนในสังคมเป็นพิเศษ เช่น
“…(อดีต) อีสานเคยอุโฆษครึ้ม เพลงแคน/สาวแม่อายบ่าวแสน ซ่อนหน้า/(ปัจจุบัน) ทหารฝรั่งคลั่งคุยแฟน เงินฟาด/สาวออกเดินเสนอค้า แน่งเนื้อแคมถนน…”
และ “…ไนท์คลับ/เหลือนับ งามงอก ดอกเห็ด/แสน็คบาร์ ร่าราค มากเว็จ/จับเคล็ด เสือป่า บ้ายุ/ของแรง แพงลิบ หยิบทรัพย์/จ่ายฉับ บ้าเลือด เดือดดุ/เพลิงดาม ย่ามใจ ไฟคุ/จุ๊…จุ๊ย์…ถลุง ฟุ้งเฟ้อ/ฝรั่งแขก แหลกเละ เต๊ะท่า/หญิงไทย ใจกล้า พาร์ทเน่อร์/ขายจูบ ลูบคลำ บำเรอ/ละเมอ เมาเงิน เพลินจริง…”
และ “…ฟลอโชว์ร่านร้อนยั่ว ยวนกระสือ/แอ่นอกโกยกามกระหือ หื่นไหม้/สยิวครางลูบขดานดือ เอวแดะ โอยแม่/เสนอภาพแพร่พันธุ์ไว้ ยั่วย้อมเยาวชน…”)
และ “…ทอปเลส/ชุดเปรต เปลือยแบะ แดะแด๋/อกล่อน จ้อนเผละ เบะแบ/ชะแง้ งอนหงาย (ตายกู)…อังกฤษ คิดแสบ แบบเปรต/ทีนเอจ หยิบมือ ฮือเห่อ/มริกา บ้ามั่ง จังเบอร์/ไทยเพ้อ ข่าวโต…โอ้ไทย!”
และสรุปลงทำนองว่า “…ลามกอุลามก/ก็ยอยกกันเรื่อยมา/คาวกามเอาฉาบทา/จนกรุงเทพจะเกินทน/คนชั่วที่ปล้นชาติ/นั้นหยาบช้าคือทรชน/คนปล้นวิญญาณคน/ด้วยกามคาวจะคือใด?…”
แล้ว “กวีการเมือง” ก็แสดงทรรศนะ “ปลุก” คนอ่าน(คนไทย)ในทำนอง “เปิดโปงที่เลวทราม/และเทิดทูนพิทักษ์ธรรม…” ตาม “สไตล์” ของ “ต้นแบบบทกวีเพื่อชีวิต” ตัวจริงท่านนี้ ในทำนองให้ชาวไทยต้อง “ ลุกขึ้นสู้” กับวัฒนธรรมเสรีนิยมของตะวันตก(ที่กวีเห็นว่าชั่วร้ายไม่สร้างสรรค์)และให้ร่วมกัน “ปกป้องพิทักษ์วัฒนธรรมอันดีงามของไทย” ให้ดำรงคงอยู่สืบไป เช่น
“…พวกคลั่งฝรั่งบ้า/เอากามทาชโลมไทย/คือโจรปผู้ปล้นใจ/ให้ชืดชาทั้งชั่วชน/อยากคาวก็เชิญคาว/แต่เพียงตามลำพังตน/อย่าคาบมาเผื่อคน/ให้พลอยเพ้อละเมอคาว/…อย่าเกลือกในเมือกกาม/จนงมงันและงงงวย/อย่าหวังเพียงเงินรวย/เอากามหว่านให้ง่านงม…”
และว่า “…ชีวิตในยุคนี้/ช่างชาชืดและมืดมน/เจียนขาติจะอับจน/อย่าซ้ำริบให้ฉิบหาย/จงช่วยจรรโลงชาติ/ประเพณีอันเพริศพราย/ประเพณีที่ควายอาย/จากเมืองเทศจงเฉดไป!…จงเฉดไป…จงเฉดไป…เฉดไป !”
แล้วสรุปว่า “…ผีกามมันข้ามฟ้า/แต่เมืองเทศมาสู่ไทย/ล้วนผีที่ปล้นใจ/ให้ชาติยับอยู่นับวัน/เสือป่าก็เป็นสื่อ/กระพือพัดอย่างกลัดมัน/มาไทยจงรู้ทัน/อย่ายอมตนให้ปล้นใจ…เมืองไทยต้องเป็นไทย/และชาติไทยต้องคงนาม/ชาติไทยใช่ทาสกาม/ใช่ทาสผีอัปรีย์…อา !”
และในงานเรื่อง “เนื้อ นม ไข่” ก็เช่นกัน “กวีการเมือง” ได้เขียนสะท้อนภาพสังคมที่เละเทะส่งเสริมให้คนหมกมุ่นในเรื่องกิเลสกามารมณ์ เกิดระบบเสรีนิยมทางเพศ กดขี่เพศหญิงลงเป็น “สินค้าทางกามารมณ์” ส่งเสริมการแต่งกายแบบตะวันตกอย่างไม่เลือกแก่นทิ้งกาก จัดประกวดนางงามแบบนุ่งน้อยห่มน้อยโชว์เนื้อหนังกันทุกหย่อมหญ้า(อนุภรรยาของสฤษดิ์ส่วนใหญ่มาจากเวทีนางงาม)ฯลฯ
สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในระบบการปกครองของเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่สมาทานเอา “วิถี” การพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัยที่มีต้นแบบคือ “จักรพรรดินิยมอเมริกา” (คำของจิตร ภูมิศักดิ์) “กวีการเมือง”ได้สะท้อนภาพดังกล่าวให้เห็นในบทกวี เช่น
“…กรุงสยามยุคใหม่โอ้ อัศจรรย์/เสียง “ประหยัด” คือคำขวัญ ค่ำเช้า/สาวสาวประหยัดยัน ยอมแม่ แล้วแม่/สวมนิดปิดหน่อยเว้า ชะเวิกวุ้งแลโหวง” และ “…เนื้อหนังมังสา/แร่ร่าแอ่นอวด/เชิญชายสำรวจ/ฮื่…ใจนักเลง/เอาอย่างมะริกัน/สั่นเทิ้มโทงเทง/ว้าวุ่นอลเวง/ไทยเอ๋ย…อูฮู !…”
แล้ว “กวีการเมือง” ก็สรุปบทนี้ลงที่พฤติกรรมของท่านผู้นำแห่งยุคสมัย ผู้ได้ฉายา “จอมพลผ้าขะม้าแดง” ผู้สถิตใน “วิมานสีชมพู” กับบรรดาเมียน้อยประเภทนางงามเนื้อ นม ไข่ ทั้งหลายด้วย “กลอนบทละคร”ทำนองว่า…
“…แสนเอยแสนง่าน/อยู่วิมานสีชมพูจู๋จี๋/เสพรสซดเม็ดทีเด็ดดี/ลืมชีวีคนทนทำงาน…แล้วยกเท้าก้าวย่องง่องแง่ง/นุ่งผ้าขะม้าแดงผืนใหญ่/จะเครมสาวขาวเนื้อนวลละไม/ย่องขึ้นบันใด หน้าบาน…”
นี่คือตัวอย่างบทกวีบางส่วนของ “กวีการเมือง” ในชุดที่เกี่ยวข้องกับสังคมไทยช่วงสมัยการปกครองของเผด็จการสฤษดิ์ ธนะรัชต์(พ.ศ.2501-2506) ที่ปกครองประเทศด้วย “ประกาศคณะปฏิวัติ” เพียงไม่กี่ประกาศ ที่มีมาตรา 17 ให้อำนาจนายกรัฐมนตรี(คือสฤษดิ์)สามารถสั่งประหารชีวิตคนไทยได้โดยไม่ต้องผ่านกระบวนการยุติธรรม ด้วยคำพูดแสดงอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จที่ว่า ข้าพเจ้ารับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว !!