ดูเหมือนว่า “ศึกซักฟอก” ที่กำลังจะมีขึ้นในราวปลายเดือนมี.ค.68นี้ จะกลายเป็นสังเวียนให้ “พรรคส้ม” อย่าง “พรรคประชาชน” โชว์ทั้งฝีมือ และย้ำจุดยืนว่าที่ผ่านมาแม้ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้นำจิตวิญญาณ ดอดไปพบ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี ก็ตาม ย่อมไม่มีผลในการต่อสู้ทางการเมือง แต่อย่างใด
การอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยฝ่ายค้าน ตามมาตรา 151 ล็อคเป้าไปที่ “แพทองธาร ชินวัตร” นายกฯคนที่ 31 เพียงคนเดียว ไม่มีการล้วงเข้าไปแตะ “พรรคร่วมรัฐบาล” พรรคใด พรรคหนึ่ง ทำให้ถูกมองว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ด้านหนึ่งจะสามารถแสดงศักยภาพของพรรคส้ม แม้ “คดีม.112” กำลังจ่อคิวเข้ามาแล้ว หลังจากที่คณะกรรมการป.ป.ช. เพิ่งออกมาส่งสัญญาณเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา
และอีกด้านหนึ่ง อย่าลืมว่า ที่ผ่านมาพรรคส้ม ถูกจับตาว่า “ชกไม่เต็มหมัด” ครั้งแล้วครั้งเล่า แม้ล่าสุดพรรคประชาชน จะเป็นพรรคแกนนำยันยืนในห้วงแรกว่า จะไม่มีการตัดชื่อ ทักษิณ ในฐานะคนนอก ออกจากญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ลึกๆแล้ว ยังถูกมองว่านี่คือเกมที่พรรคสีส้มจงใจเล่นเกม “ปั่นประสาท” พรรคเพื่อไทย พร้อมๆกับสร้าง “เครดิต” ให้กับตัวเองมากกว่า
เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีข่าวสะพัดมาก่อนที่ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ประธานสภาฯ จะนัดหารือร่วมกันกับ พรรคประชาชน และเลขาฯสภาฯ เมื่อวันที่ 13 มี.ค.ด้วยซ้ำ ถึงอย่างไรฝ่ายค้านจะยอมถอนชื่อทักษิณ ออกจากญัตติอยู่ดี และเลี่ยงไปใช้สรรพนามอื่น เรียกขานและกล่าวถึงแทน
สำหรับพรรคประชาชนแล้ว ทั้งวันนี้และข้ามช็อตไปยังหลังวันซักฟอกจบลง พวกเขายังมีเดิมพันชะตากรรมของพรรคและสมาชิกพรรครออยู่ แต่สิ่งที่ “ได้เปรียบ” เหนือพรรคเพื่อไทยและตัวนายกฯแพทองธาร คือการสะสมคะแนนนิยมจากทั้งศึกในสภาฯ ไปจนถึงการตรวจสอบนอกสภาฯที่ดำเนินกันมาล่วงหน้าก่อนนี้
และด้วยแต้มต่อที่พรรคส้มมีอยู่ในมือ จึงอาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้แกนนำของพรรคกล้าประกาศว่าจะไม่มีการร่วมกับพรรคเพื่อไทย ตั้งรัฐบาลในสมัยนี้ เพราะพรรคส้ม รู้ดีว่า โอกาสที่ประตูการเมืองจะเปิดรับพรรคส้ม ให้ไปเป็น “ฝ่ายบริหาร” นั้นแทบไม่มี
ทว่า ทางด้านพรรคเพื่อไทยและนายกฯแพทองธาร เองก็ไม่ได้อยู่ในจุดที่ถือแต้มต่อเหนือพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่ตัวทักษิณ เอง ก็ยังอยู่ในสถานะที่ถูกกำหนด “บท” ให้ “ต้องเล่น” ไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จที่แท้จริง อยู่ดี !