ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
เป็นที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆสำหรับสถานการณ์ของสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันภายใต้การคุมบังเหียนของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ดูแล้วจะโดดเดี่ยวตัวเองมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเปิดศึกรอบด้านภายหลังการประกาศขึ้นภาษีอย่างเป็นทางการต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน ที่ได้เริ่มขึ้นจริงแล้วเมื่อวันที่ 4 มีนาคมที่ผ่านมา
กรณีที่น่าสนใจคือ แคนาดา ซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศพันธมิตรของสหรัฐมายาวนาน ด้วยความที่พรมแดนติดกันและยังมีพื้นเพที่ใกล้เคียงกัน แคนาดาจึงไม่ต่างอะไรกับบ้านพี่เมืองน้องกับสหรัฐ ที่มักจะ “ไปไหนไปกัน” กับสหรัฐมาตลอด แต่แคนาดาก็เป็นหนึ่งในประเทศแรกๆ ที่สหรัฐเลือกเปิดสงครามการค้า (และสงครามน้ำลาย) ด้วย
บรรยากาศระหว่างแคนาดาและสหรัฐได้ทวีความอย่างรุนแรงขึ้นหลังจากสหรัฐได้ประธานาธิบดีคนใหม่ที่ชื่อ โดนัลด์ ทรัมป์ ที่ลุกขึ้นมาโจมตีแคนาดาอย่างรุนแรงนับตั้งแต่รับตำแหน่ง และได้เริ่มใช้มาตรการภาษีกับแคนาดาเป็นประเทศแรกๆ หรืออาจจะเรียกว่า “เชือดไก่ให้ลิงดู” ก็คงไม่ผิด นำมาซึ่งการตอบโต้อย่างรุนแรง โดยนายกรัฐมนตรี จัสติน ทรูโด ที่โดยส่วนตัวก็เป็นไม้เบื่อไม้เมากับ โดนัลด์ ทรัมป์ มาพอสมควรนับตั้งแต่การเป็นประธานาธิบดีสมัยแรกของทรัมป์ จนเรียกได้ว่า นี่น่าจะเป็นสงครามน้ำลายที่หนักที่สุดเท่าที่เคยมีมาระหว่างผู้นำของสองชาตินี้
จนล่าสุด สงครามน้ำลาย…ได้กลายเป็นสงครามการค้า ไปเรียบร้อยโรงเรียนทรัมป์
ทรัมป์กล่าวว่า…“หลายประเทศได้ใช้เพดานภาษีกับเรามาหลายทศวรรษ ถึงเวลาของเราบ้าง”
“วันนี้สหรัฐได้ประกาศสงครามทางการค้ากับแคนาดา เพื่อนและพันธมิตรที่ใกล้ชิดที่สุดของสหรัฐ และในขณะเดียวกันสหรัฐก็พูดถึงการทำงานร่วมกับรัสเซีย เอาอกเอาใจปูติน เผด็จการ-ฆาตกร ผู้ฉ้อฉล” นี่คือข้อความตอนหนึ่งของนายกรัฐมนตรีแคนาดา พร้อมกับการประกาศมาตรการตอบโต้ทางการค้าต่อสหรัฐ โดยประกาศขึ้นภาษีสำหรับสินค้าจากสหรัฐที่มีมูลค่ารวมถึงกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือราวๆ 7 แสนล้านบาท อาทิ ไวน์ เหล้า เบียร์ มอเตอร์ไซค์ เป็นต้น นี่ยังไม่นับคำขู่อื่นๆและการยกเลิกสัญญาของภาคเอกชนสหรัฐจำนวนหนึ่ง
ล่าสุด จัสติน ทรูโด ได้ลงจากตำแหน่ง และได้ฝากไม้ต่อไว้ที่ มาร์ค คาร์นีย์ ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่
ซึ่งทันทีที่ได้แสดงวิสัยทัศน์ต่อสาธารณะ เขาก็มุ่งเป้าไปที่ “การเอาชนะสงครามการค้ากับสหรัฐ” ทันที “ทรัมป์ได้โจมตีคนงาน ครอบครัว และธุรกิจของคนแคนาดา และเราจะไม่ยอมให้เขาทำสำเร็จ” นี่คือส่วนหนึ่งของสุนทรพจน์โจมตีทรัมป์ของคาร์นีย์
จากสถานการณ์ปัจจุบัน คงเดาได้ไม่ยากว่าสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับแคนาดาน่าจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากในชั่วโมงนี้ เพราะถึงแม้ว่าทรูโดจะลงจากตำแหน่งแล้วก็ตาม แต่การต่อสู้ทางการค้านี้ได้กลายเป็นเรื่องระดับชาติของแคนาดา และแน่นอนไม่ว่าใครจะเป็นผู้นำ ณ จังหวะนี้ก็ต้องตามน้ำ รับหน้าที่เป็นแม่ทัพต่อสู้กับสหรัฐต่อไป
สำหรับสหรัฐ นี่น่าจะเป็นการส่งสัญญาณไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก ว่าสหรัฐจะเอาจริงดังที่ประกาศไว้ว่าทั่วโลกจะโดนเหมือนกันหมด เพราะสามประเทศนี้เป็นประเทศที่เป็นคู่ค้าอันดับหนึ่งกับสหรัฐ และเป็นคู่ค้าที่ทำให้สหรัฐ “ขาดดุล” การค้ามากที่สุดด้วยเช่นกัน
สิ่งที่ทรัมป์ขายมาตลอดคือ Make America Great Again และ America First ดังนั้น จึงไม่แปลกที่ทรัมป์จะดำเนินนโยบายแบบไม่สนโลก เช่นนี้ เพราะหัวใจสำคัญคือการทำตามสิ่งที่หาเสียง และการเอาใจคนที่สนับสนุนทรัมป์เหนือสิ่งอื่นใด ซึ่งแน่นอนว่า ผู้สนับสนุนของทรัมป์ย่อมเชื่อว่าแนวทางเช่นนี้ดีกับพวกเขาและสหรัฐ
เรียกว่า แม้แต่เพื่อนที่ใกล้ที่สุด สนิทที่สุด ก็โดน นับประสาอะไรกับคนอื่นและคู่แข่งอย่างจีน
แน่นอนว่า ฝั่งจีนก็ตอบโต้เช่นกันด้วยการขึ้นภาษีต่อสินค้าสหรัฐ 10-15% และได้ร้องเรียนต่อองค์การการค้าโลก (WTO) พร้อมๆกับการที่รัฐมนตรีต่างประเทศออกมากล่าวอย่างร้อนแรงว่า “ถ้าสหรัฐต้องการสงคราม จะเป็นสงครามภาษี สงครามการค้า หรือสงครามแบบไหน เราพร้อมจะสู้จนถึงที่สุด” เรียกได้ว่า สั้นๆ ได้ใจความ ไม่ต้องตีความต่อให้วุ่นวาย
ลำพังจีนคงจะเป็นเรื่องไม่ได้แปลกประหลาดแต่อย่างใด แต่พอมีแคนาดาเข้ามาเอี่ยวด้วยเลยทำให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า การส่งสัญญาณเช่นนี้ อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการโดดเดี่ยวตัวเองของสหรัฐฯ ที่แม้แต่พันธมิตรก็ยังทำได้ และหากในอนาคตสหรัฐใช้มาตรการทางการค้าต่อประเทศอื่นๆทั่วโลกด้วยเช่นกัน แถมด้วยการตัดความช่วยเหลืออื่นๆที่เคยทำมาผ่าน USAID งานนี้สงสัยจะเข้าทำนอง “พันธมิตรก็ไม่เอา Soft Power ก็ไม่เล่น”
ก็สงสัย…คงได้อยู่คนเดียวจริงๆเป็นแน่แท้
สำหรับจีนและรัสเซีย งานนี้นั่งดูเฉยๆ ก็อาจจะส้มหล่น…ได้อิทธิพลไปครองโดยไม่ต้องเหนื่อย
เอวัง