เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phogphit
ปัจจุบันไทยกำลังเสียความสามารถในการแข่งขันด้านข้าว ผลิตได้น้อยกว่าทั้งปริมาณและคุณภาพ ไทยที่เคยเป็นผู้นำข้าวโลก กำลังเป็นผู้ตาม และถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
ไทยเน้นข้าวหอมมะลิ ซึ่งเป็นข้าวพรีเมียม คุณภาพดี แต่ให้ผลผลิตต่ำ (400-500 กก./ไร่) ประเทศอื่น เช่น จีน อินเดีย เวียดนาม ให้ผลผลิตสูงกว่าไทยถึง 2-3 เท่า ไทยยังใช้วิธีปลูกแบบดั้งเดิม ในขณะที่ประเทศคู่แข่งใช้เกษตรแม่นยำ เทคโนโลยี AI และโดรน
เวียดนามพัฒนาพันธุ์ข้าวแข่งกับไทยได้แล้ว ข้าว ST25 ของเวียดนาม ชนะข้าวหอมมะลิไทยในหลายเวทีระดับโลก ผลผลิตเวียดนามต่อไร่สูงกว่าไทยถึงสองเท่า เวียดนามใช้เครื่องจักรอัตโนมัติและการบริหารจัดการน้ำที่มีประสิทธิภาพกว่า
จีน ญี่ปุ่น และสหรัฐฯ ใช้เทคโนโลยีช่วยเพิ่มผลผลิต จีนใช้พันธุ์ข้าวลูกผสม (Hybrid Rice) ทำให้ผลผลิตสูงถึง 900-1,500 กก./ไร่ ญี่ปุ่นใช้เทคโนโลยีควบคุมอุณหภูมิ ดิน และน้ำ ทำให้ข้าวคุณภาพสูงและผลผลิต 1,500-1,800 กก./ไร่ สหรัฐฯ ใช้เกษตรอุตสาหกรรม ปลูกข้าวแปลงใหญ่ ผลผลิตสูงกว่าข้าวไทย 3 เท่า
ไทยจะแข่งขันในตลาดโลกได้ต้องเพิ่มผลผลิตต่อไร่ ใช้เกษตรแม่นยำสูง ใช้โดรน เอไอ ชลประทาน ลดความเสียหายจากน้ำท่วม ภัยแล้ง สร้างแบรนด์ข้าวพรีเมียมระดับโลก พัฒนาข้าวหอมมะลิรุ่นใหม่ที่แข่งกับ ST25 ได้ ขายข้าวออร์แกนิก ข้าวเพื่อสุขภาพ เป็นซอฟต์พาวเวอร์ที่บูรณาการกับอาหารและการท่องเที่ยว
ลดต้นทุนการผลิต ใช้ปุ๋ยอินทรีย์และเทคโนโลยีชีวภาพ ลดการใช้สารเคมี รวมตัวเป็นสหกรณ์เกษตร ลดค่าขนส่งและต่อรองราคาได้ สรุปว่าต้องพัฒนา “คน-ความรู้-ระบบ” อย่างครบวงจร
ถ้าไม่พัฒนา ไม่เพิ่มผลผลิต ลดต้นทุน และใช้เทคโนโลยี ข้าวไทยจะเสียอันดับในตลาดโลก ต้องเปลี่ยนจาก “ผลิตแบบเดิม” ไปสู่ “เกษตรอัจฉริยะ” (Smart Farming) เพื่อกลับไปเป็นผู้นำอีกครั้ง
เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจน ลองเปรียบเทียบกับเวียดนาม ในช่วง 10-15 ปีที่ผ่านมา เวียดนาม พัฒนาอย่างก้าวกระโดด จนแซงไทยในหลายด้าน โดยเฉพาะต้นทุนต่ำ ผลผลิตสูง และตลาดส่งออกที่ขยายตัวเร็ว
ไทยมักใช้ "นโยบายประชานิยม" แต่ไม่มีแผนพัฒนายั่งยืน มีโครงการจำนำข้าว หรือ ประกันราคาข้าว ไม่ส่งเสริมเกษตรกรพัฒนาเรื่องต้นทุนและคุณภาพ ไม่มีการสนับสนุนเทคโนโลยีหรือให้ความรู้ด้านการผลิตอย่างเป็นระบบ ส่งเสริมนาแปลงใหญ่ในรัฐบาลที่แล้ว พอเป็นรัฐบาลใหม่ นาแปลงใหญ่ก็หายเงียบไป
เวียดนามมียุทธศาสตร์ชัดเจน มีนโยบาย 3 สูง 3 ต่ำ ให้ความสำคัญกับผลผลิตสูงต้นทุนต่ำ ใช้เทคโนโลยีช่วยลดต้นทุน ใช้โดรนพ่นปุ๋ย และวิเคราะห์ดินด้วย AI ใช้ระบบชลประทานสมัยใหม่ และข้าวพันธุ์ที่ใช้น้ำน้อย ลดความเสี่ยงจากภัยแล้ง ใช้เกษตรพันธสัญญา (Contract Farming) มีภาครัฐช่วยดูแลเรื่องราคา
ไทยยังคงปลูกแบบดั้งเดิม ต้นทุนสูง ผลผลิตต่ำ ผลผลิตข้าวไทยเฉลี่ย 500 กก./ไร่ ต่ำกว่าเวียดนามที่ทำได้ 800-1,000 กก./ไร่ เกษตรกรไทยพึ่งพาปุ๋ยเคมีและแรงงานมากกว่าการใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ
เวียดนามขยายตลาดข้าวใหม่ ในขณะที่ไทยยังพึ่งตลาดเดิม เวียดนามทำตลาดเชิงรุก ส่งเสริมข้าวหอม ST25 ซึ่งชนะรางวัลข้าวดีที่สุดในโลก แข่งกับข้าวหอมมะลิไทย เจาะตลาดตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรปได้สำเร็จ
ไทยเสียตลาดให้คู่แข่ง เพราะขาดการพัฒนา ข้าวหอมมะลิยังมีตลาดพรีเมียม แต่ข้าวคุณภาพทั่วไปเริ่มเสียส่วนแบ่งตลาด เวียดนามและอินเดียแย่งตลาดข้าวพื้นฐานของไทยไปมาก (รัฐมนตรีไทยบอกว่าจะไปขอให้อินเดียกับเวียดนามไม่แข่งขันกับไทย ทำเหมือนมวยขึ้นเวทีแล้วไปขอให้คู่ชกไม่ให้ออกอาวุธ ไม่ขำ)
เวียดนามส่งออกข้าวได้มากขึ้นในราคาถูกกว่า ไทยเคยเป็นผู้ส่งออกข้าวอันดับ 1 ของโลก แต่ปัจจุบันเวียดนามเริ่มแซงหน้า ปี 2023 เวียดนามส่งออก 8.1 ล้านตัน ไทยส่งออก 7.5 ล้านตัน ในปี 2025 เวียดนามตั้งเป้าส่งออก 10 ล้านตัน
เวียดนามขายข้าวได้ราคาดีกว่าไทย ข้าวเวียดนามต้นทุนต่ำกว่าไทย 30-40% ทำให้แข่งขันได้ในตลาดใหญ่ เช่น ฟิลิปปินส์ และแอฟริกา ข้าวไทยต้นทุนสูง ทำให้ขายได้เฉพาะตลาดพรีเมียม แต่ปริมาณน้อย
ไทยต้องปรับตัวเพื่อแข่งขันกับเวียดนาม อินเดีย ลดต้นทุน เพิ่มผลผลิต สนับสนุนเกษตรแม่นยำสูง ใช้เครื่องจักรอัตโนมัติ โดรน AI เพื่อลดการใช้แรงงาน ปรับปรุงพันธุ์ข้าวให้ผลผลิตสูงขึ้น และต้านทานโรค
เลิกนโยบายประชานิยมที่ทำลายระบบเกษตร เลิกจำนำข้าวแบบไม่ยั่งยืน หันมาสนับสนุนการปรับปรุงคุณภาพ พัฒนาเกษตรกร สนับสนุนให้รวมตัวเป็นสหกรณ์ก้าวหน้าเพื่อต่อรองกับผู้ซื้อ
พัฒนาข้าวไทยให้แตกต่าง ให้เป็น "Premium Brand" แบบที่ญี่ปุ่นทำกับข้าว Koshihikari ขยายตลาด ข้าวออร์แกนิกและข้าวเพื่อสุขภาพ เช่น ข้าวไรซ์เบอร์รี ข้าวโภชนาการสูง
ทำตลาดเชิงรุกแข่งกับเวียดนาม ขยายตลาดใหม่ เช่น ตะวันออกกลาง ยุโรป และสหรัฐฯ ใช้อีคอมเมอร์ซ ขายข้าวตรงถึงผู้บริโภค ลดการพึ่งพาคนกลาง
ถึงเวลาที่ต้อง “ปฏิวัติข้าวไทย” ไม่เอาแต่กินบุญเก่าซึ่งกำลังจะหมดไป คู่แข่งเขาพัฒนา ขณะที่รัฐบาลไทยไม่มีวิสัยทัศน์และยุทธศาสตร์ ยังคิดแค่แจกเงินชดเชยฝนแล้ง น้ำท่วม ราคาตก ยังแนะนำให้ปลูกกล้วยแทนข้าว ยังคิดจะไปขอร้องให้อินเดียกับเวียดนามไม่แข่งเรื่องตลาดกับไทย
เหมือนยุคหนึ่งที่เคยมีพรรคการเมืองมีนโยบาย “ขอร้องคนรวยให้ช่วยคนจน” โดยไม่แก้ปัญหาที่ระบบโครงสร้าง ไม่มีสติปัญญา ความกล้าหาญทางจริยธรรม และเจตจำนงทางการเมืองเพื่อแก้ปัญหาที่รากฐาน