ทวี สุรฤทธิกุล
จักรวาลการเมืองอาจดูกว้างใหญ่ลึกล้ำ แต่จับดูจริง ๆ อาจจะเป็นแค่ “รูเล็ก ๆ” ที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่และลึกลับอะไรเลย
อ่านข่าวนายอนุทิน ชาญวีรกูล พานายเนวิน ชิดชอบ ไปพบกับนายทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 4 และต่อมาในวันที่ 5 มีนาคมนี้ นายอนุทินก็ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่าได้คุยกันหลายเรื่อง คือเรื่องร่าง พ.ร.บ.ประกอบธุรกิจสถานบันเทิงครบวงจร และร่าง พ.ร.บ.พนันออนไลน์ รวมถึงการอภิปรายไม่ไว้วางใจ
ประเด็นก็คือ “ไปคุยทำไม?” (แน่นอนว่าเรื่องนี้ถูกจับตามองจากสื่อและสาธารณชนว่า น่าจะเป็นการที่นายอนุทินพานายเนวินไปเพื่อ “เคลียร์ใจ” กับนายทักษิณ หลังจากที่มีปัญหากันมากว่า 10 ปี ตั้งแต่การที่นายเนวินไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เมื่อปี 2552 ด้วยประโยคที่นายเนวินพูดหยามนายทักษิณว่า (“มันจบแล้วครับนาย”) รวมถึงคำถามต่อไปว่า “ทักษิณเป็นใคร?”
ขอยกประเด็นไปคุยทำไมหรือคุยเรื่องอะไรนั้นไว้ก่อน แต่ที่ผู้เขียนมองว่าน่าจะเป็น “ประเด็นใหญ่” ในตอนนี้จากคำสัมภาษณ์ของนายอนุทินก็คือ นายทักษิณน่าจะเป็นผู้ที่มี “อำนาจเหนือ” ทั้งต่อพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล “อย่างชัดเจน” ซึ่งสมควรที่บรรดานักร้องทั้งหลายจะนำไปจัดการ “กระซวก” ให้เสร็จสิ้นต่อไป รวมถึงที่จะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 มีนาคมนี้ ฝ่ายค้านก็ควรจะเล่นงานเรื่องนี้ให้จงหนัก โดยเอาคำสัมภาษณ์ของนายอนุทินนี้เป็นหลักฐานอันสำคัญด้วย
คำถามต่อมา “นายทักษิณเป็นใคร?” ถ้าตอบด้วยข้อมูลข่าวสารที่รายรอบจากคนที่ติดตามข่าวสารการเมืองอยู่บ้าง ก็คงจะตอบได้ง่าย ๆ ก่อนว่า “อดีตนายกฯขวัญใจคนเสื้อแดง - อดีตนักโทษชายหนีคดี - นักโทษป่วยทิพย์ - พ่อนายกฯอุ๊งอิ๊ง” และ “นายใหญ่บ้านจันทร์ส่องหล้า” ฯลฯ
ถ้าสรุปเป็นภาษานักรัฐศาสตร์ให้ฟังดู “ขลัง” ขึ้นอีกนิด ก็น่าจะเรียกได้ว่าเขาคือ “ผู้นำทางการเมือง” หรือถ้าจะยกย่องให้สุด ๆ ตามความยิ่งใหญ่ไปในทุก ๆ ด้านของบุคคลคนนี้ ก็พอจะเรียกได้ว่า “อภิมหาบุรุษ(ทางด้านไหนเดี๋ยวค่อยว่ากัน)แห่งศตวรรษของการเมืองไทย”
ผู้เขียนเป็นนักรัฐศาสตร์ที่เชื่อในทฤษฎีเรื่อง “ผู้นำ” นี้มาก ๆ โดยสามารถที่จะปฏิเสธทฤษฎีอื่นในทางการเมืองการปกครองไปได้โดยสิ้นเชิง นั่นก็คือ “การเมืองการปกครองของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำทางการเมืองของแต่ละประเทศในแต่ละยุคเป็นสำคัญ” (และหากจะขยายต่อไปก็อาจจะเชื่อมโยงได้เช่นกันว่า “การเมืองของโลกจะเป็นอย่างไร ก็คืออยู่กับผู้นำที่เป็นมหาอำนาจในโลกนั้นเป็นสำคัญ”)
“จักรวาลการเมือง” ถ้าเป็นระดับโลกอาจจะเปรียบได้กับ “ทุกชาติ” ที่อยู่ร่วมกันบนโลกใบนี้ หลายชาติมีการรวมกันเป็นกลุ่ม ๆ ทั้งในระดับภูมิภาคและในระดับโลก ซึ่งอาจจะเรียกได้ว่ารวมกันเป็น “กาแล็กซี” ต่าง ๆ ต่างก็ส่งแรงดึงดูดระหว่างกันมากบ้างน้อยบ้าง ตามอิทธิพลของแต่ละกลุ่ม แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ “ชาติผู้นำ” ในแต่ละกลุ่มนั้น ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับ “บุคลิกภาพ” ของผู้นำในชาติที่เป็นมหาอำนาจนั้นอีกด้วย (ตอนนี้เราอาจจะเห็นกาแล็กซีที่ชื่อว่านาโตกำลัง “ร้าว” เพราะการถอยบทบาทของสหรัฐอเมริกา ในยุคที่มีนายโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นประธานาธิบดี นี่ก็เพราะอิทธิพลหรือความยิ่งใหญ่ของนายทรัมป์นั่นเอง)
คนที่เรียนมาทางด้านกำเนิดของจักรวาล คงจะทราบแล้วว่า ต้นกำเนิดของจักรวาลนี้คือ “บิ๊กแบง” ซึ่งก็คือการระเบิดครั้งใหญ่ที่อุบัติขึ้นเมื่อประมาณ 10,000 ล้านปีก่อน จาก “อนุภาคเล็ก ๆ” (ที่ปัจจุบันก็ยังศึกษาอยู่ โดยเรียกกันง่าย ๆ ว่า “อนุภาคพระเจ้า”) โดยคาดว่าขณะนี้จักรวาลได้ขยายตัวออกมาอย่างเต็มที่แล้ว ซึ่งต่อไปก็จะเข้าสู่ภาวะหดตัวหรือยุบสลาย โดยจะกลับไปเป็น “อนุภาคเล็ก ๆ” นั้นอีกในที่สุด
ตัวที่ทำให้จักรวาลนี้หดตัวลง เพราะมีการดูดดวงดาวและสสารต่าง ๆ ในกาแล็กซี่ต่าง ๆ เข้าไปจนหมดก็คือ “หลุมดำ” ซึ่งสิ่งนี้นี่เองที่ผู้เขียนนำมาเปรียบเทียบกับสภาวะทางการเมือง เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า “สิ่งที่มีพลังอำนาจหรืออิทธิพลสูงสุดพร้อมที่จะสร้างและทำลายทุกสิ่งทุกอย่างได้ทุกเมื่อ”
ทฤษฎีนี้เป็นทฤษฎีที่เรียกว่า “ฟิสิกส์การเมือง” ที่นักรัฐศาสตร์อเมริกันในยุคปี 1990 ได้ริเริ่มศึกษาไว้ (ท่านอาจารย์ชัยอนันต์ สมุทวณิช นักรัฐศาสตร์ชื่อดังของไทย เป็นคนที่นำเรื่องนี้มานำเสนอในวงวิชาการไทย) โดย “การเมือง” นี้ก็เป็น “ธรรมชาติ” อย่างหนึ่ง มีเกิด มีวิวัฒน์(เจริญและเสื่อม) และสลายไปในที่สุด รวมถึงมีความสามารถในการปรับตัว ทั้งเพื่อความอยู่รอดและความยั่งยืนนั้นด้วย
มามองประเทศไทยในยุคนี้ แน่นอนว่านายทักษิณเคยเป็น “ดาวฤกษ์” และหลายคนก็ยังเชื่อว่ายังมีความร้อนแรงอยู่มาจนถึงขณะนี้ แต่สำหรับผู้เขียนกลับมองว่า นายทักษิณน่าจะอยู่ใน “ยุคเสื่อม” และรอวันที่จะสูญสลาย หายไปใน “หลุมดำ” ตราบนิรันดร์
หลายคนมองว่า “หลุมดำ” นี้เป็นสิ่งลึกลับ แม้แต่นักดาราศาสตร์ก็ยังไม่ได้สรุปในเรื่องความเป็นหลุมดำนี้จนเพียงพอที่จะทำให้คนทั่ว ๆไป เข้าใจได้ เช่นเดียวกันกับ “หลุมดำทางการเมือง” ที่นักรัฐศาสตร์ก็ยังหาคำอธิบายที่ชัดเจน หรือบอกลักษณะ และที่มาที่ไป อย่างเป๊ะ ๆ ไม่ได้ บ้างก็ว่า กระบวนการยุติธรรม บ้างก็ว่าการรัฐประหาร หรือบ้างก็ว่า “ฟ้ากำหนด”
ในความเห็นของผู้เขียนมองว่า ทุกวันนี้นายทักษิณนั่นเองที่พยายามทำตัวเป็น “หลุมดำทางการเมืองของประเทศไทย” คือเขาพยายามจะ “ทำลาย” ดาวทุกดวงที่จะชิงขึ้นมาแข่งอำนาจวาสนากับเขา (ครั้งหนึ่งในปี 2549 ก็ยังเคยขึ้นไปเหยียบ “พระอาทิตย์” จนจัญไรกินหัวให้ต้องระเห็จไปอยู่ต่างแดนกว่า 17 ปี) และในขณะนี้เขาก็คิดว่าได้ “ขจัด” คู่แข่งทางการเมืองต่าง ๆ ได้อย่างราบคาบ รวมถึงการกำราบพรรคภูมิใจไทย ที่รวมถึง “ครูใหญ่” ของพรรคนี้ ที่น่าจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองที่แข็งแกร่งที่สุดในขณะนี้
การขจัดคู่แข่งทางการเมืองในแนวทางที่ชั่วร้ายต่าง ๆ ด้วยความหลงลืมตัวว่า ตนเองคือ “ผู้มีอิทธิพลสูงสุดทางการเมืองไทย” แบบนี้ ก็ไม่น่าจะเรียกได้ว่าเป็น “หลุมดำ” ที่ทรงอิทธิพลทางการเมืองอันแท้จริงได้แต่อย่างใด ซึ่งน่าจะเป็นแค่การแสดงนิสัยสันดานของคนบางคนนั้นมากกว่า ซึ่งเมื่อตัวคน ๆ นั้น “เสื่อมสลาย” ไปแล้ว สังคมก็จะเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับผู้นำของประเทศคนต่อไป
หลุมดำทางการเมืองเลว ๆ แบบนี้ อย่างมากก็เป็นได้แค่ “รูท่อสกปรกของการเมือง” ที่คอยดูดไล่สิ่งเลว ๆ เหล่านั้นให้ไหลออกไปในที่สุด !