เสรี พงศ์พิศ

 Fb Seri Phogphit

“ไทยคือครัวของโลก” ฟังดูดี แต่ควรดูความเป็นจริง นี่คงเป็นเพียง “วาทกรรม” ของทุนใหญ่ ข้าราชการและนักการเมือง ขณะที่ชาวนาไทยขายข้าวได้ตันละ 6,000 บาท ทำนาได้ไร่ละไม่ถึงครึ่งตัน เกือบต่ำสุดในโลก

ข้าวไทยราคาแพง พ่อค้ารวย ชาวนาจน คุณภาพก็ไม่เหมือนเดิม ส่งออกได้น้อยลงเพราะคู่แข่งที่มีข้าวราคาถูกกว่าและคุณภาพบางอย่างดีกว่า ถ้ายังฝันกับวันวานยังหวานอยู่ ไม่ลุกขึ้นมา “ปฏิวัติข้าวไทย” (รู้ว่าทำอย่างไร แต่ไม่ทำ) การเกษตรไทย เศรษฐกิจไทยไปไม่รอดแน่ แต่ที่ตายก่อนใครคือชาวนา

ที่ถูกควรบอกว่า “ไทยมีศักยภาพเป็นครัวของโลก” ถ้ามีการส่งเสริมกันอย่างจริงจัง เพราะความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรธรรมชาติ ความหลากหลายทางชีวภาพและทรัพยากรการเกษตร

ไทยเป็นหนึ่งในผู้ส่งออกข้าวรายใหญ่ของโลก และมีสินค้าเกษตรสำคัญ เช่น มันสำปะหลัง น้ำตาล กุ้ง และไก่ ไทยเป็นผู้นำในการผลิตอาหารแปรรูป เช่น อาหารกระป๋อง อาหารแช่แข็ง อาหารกึ่งสำเร็จ อาหารไทยได้รับความนิยมทั่วโลก ทำให้เกิดความต้องการวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์อาหารไทย

คนทั่วโลกให้ความสำคัญกับอาหารที่ดีต่อสุขภาพ ไทยมีศักยภาพพัฒนาอาหารไทยสู่ตลาดพรีเมียม อาหารสุขภาพ อาหารอินทรีย์  นวัตกรรมทางอาหาร ไทยเริ่มพัฒนาเทคโนโลยีด้านอาหาร เช่น โปรตีนจากพืช

ความต้องการแหล่งอาหารที่ยั่งยืน ไทยสามารถใช้เกษตรอินทรีย์และเกษตรยั่งยืนเพื่อตอบโจทย์ตลาดที่ต้องการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ตลาดอียูและประเทศพัฒนาแล้วให้ความสำคัญกับ “การเติบโตสีเขียว”  (Green Growth) ซึ่งเป็น “ภาคบังคับ” ถ้าไม่ทำภายในปี 2030 เราจะขายข้าวและพืชผลทางเกษตรไม่ได้

ความต้องการโปรตีนทางเลือก เช่น โปรตีนจากพืช (plant-based meat) แมลงเพื่ออาหาร (edible insects) และ อาหารจากเซลล์เพาะเลี้ยง (cultured meat) เพิ่มขึ้น ไทยมีศักยภาพสูงในการผลิตและส่งออกโปรตีนจากพืช โดยใช้พืชที่ไทยปลูกได้ เช่น ถั่วเหลือง ข้าว และสาหร่าย ทำอาหารแปรรูปและอาหารพร้อมรับประทาน

โอกาสจากความขาดแคลนอาหารในบางภูมิภาค วิกฤตด้านอาหารจากสงครามและปัญหาภูมิอากาศ ทำให้หลายประเทศต้องพึ่งพาการนำเข้าอาหารมากขึ้น ไทยสามารถเป็นแหล่งส่งออกอาหารที่สำคัญ โดยเฉพาะไปยังตะวันออกกลาง แอฟริกา และเอเชียใต้

เพื่อพัฒนาไทยให้เป็น "ครัวของโลก" อย่างยั่งยืน ไทยควรลงทุนในเกษตรอัจฉริยะ (Smart Agriculture) ใช้เทคโนโลยีเพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ส่งเสริมการผลิตอาหารปลอดภัย อาหารอินทรีย์ เพิ่มมาตรฐานสินค้าให้แข่งขันในตลาดโลก และส่งเสริมปัจจัยการผลิต ทำเอง ไม่เอาแต่นำเข้า เช่น ปุ๋ยและสารเคมีปราบศัตรูพืช

สร้างแบรนด์อาหารไทยระดับพรีเมียม  พัฒนาอาหารสุขภาพ อาหารมังสวิรัติ พัฒนาระบบส่งออกให้เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของอุตสาหกรรมอาหารไทย  สร้างเครือข่ายเกษตรกรและผู้ผลิตอาหารรายย่อย  โดยเฉพาะอาหารท้องถิ่นซึ่งมีมากมายที่ดีต่อสุขภาพ อย่างน้ำพริกที่มีหลากหลายที่สุดในโลก

ส่งเสริมให้คนท้องถิ่นมีบทบาทในเศรษฐกิจอาหาร พัฒนาระบบเศรษฐกิจตนเอง ผลักดันนโยบายอาหารแห่งอนาคต สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาด้านโปรตีนทางเลือกและเทคโนโลยีอาหาร

ไทยยังขาดการวิจัยและพัฒนาด้านอาหารและเกษตร ทำให้เรายังต้องพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นเมล็ดพันธุ์ เครื่องจักร เทคโนโลยีชีวภาพ หรือกระบวนการผลิตอาหารที่ทันสมัย

ไทยยควรให้ความสำคัญเรื่องการวิจัยและพัฒนาอาหารจากพืช (plant-based food) ซึ่งไม่ใช่แค่กระแส แต่เป็น "อนาคตของอุตสาหกรรมอาหาร" เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ทั้งสุขภาพ สิ่งแวดล้อม และความยั่งยืน  ตลาดอาหารจากพืชที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

Bloomberg คาดการณ์ว่า มูลค่าตลาด plant-based food จะเพิ่มขึ้นเป็น 162,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปี 2030 ผู้บริโภครุ่นใหม่ โดยเฉพาะ Millennials และ Gen Z ให้ความสนใจกับอาหารจากพืชมากขึ้น ประเทศต่างๆ ออกนโยบายลดการบริโภคเนื้อสัตว์ เช่น อียูตั้งเป้าให้ประชากรลดการบริโภคเนื้อสัตว์ลง 50% ภายในปี 2050

เราสามารถพัฒนา อาหารจากพืชที่เป็นเอกลักษณ์ไทย เช่น “ลาบจากพืช” “ไส้อั่วจากพืช” “แกงเขียวหวานจากพืช” และอาหารไทยอื่นๆ อีกมากมาย  

ถ้าไทยต้องการเป็น “ครัวของโลก” อย่างแท้จริง เราต้อง ลงทุนในการวิจัยและพัฒนา (R&D) และสร้างองค์ความรู้ของตัวเอง เพื่อให้มีเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทยเอง ไม่ใช่เป็นแค่ผู้ผลิตตามสูตรของต่างชาติ

ตัวอย่างประเทศที่ไทยควรเรียนรู้มี เนเธอร์แลนด์ ประเทศเล็กแต่ยิ่งใหญ่ด้านเกษตรและอาหาร  เกาหลีใต้ที่สร้างเทคโนโลยีขั้นสูง  อิสราเอลที่ใช้เทคโนโลยีชดเชยข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ (แทนที่จะดรามาแต่เรื่องนักท่องเที่ยวยิวที่ปาย มหาวิทยาลัยไทยควรทำความร่วมมือวิจัยพัฒนากับชาตินี้ที่เป็น “มันสมองของโลก”)

ถ้าไทยต้องการเป็น "ครัวของโลก" อย่างยั่งยืน เราต้องเป็นเจ้าของเทคโนโลยีของตัวเอง ไม่ใช่แค่ผู้ผลิตตามคำสั่งของต่างชาติ  การวิจัยและพัฒนาเป็นกุญแจสำคัญ ไทยต้องลงทุนใน Food Tech, Agri Tech, และการแปรรูปอาหารที่มีมูลค่าสูง  การร่วมมือระหว่างรัฐ เอกชน และมหาวิทยาลัยสำคัญยิ่ง เราต้องสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่ง เพื่อพัฒนานวัตกรรมที่สามารถแข่งขันได้ในระดับโลก

ไทยมีศักยภาพสูงในการเป็น “ครัวของโลก” แต่ต้องปรับตัวให้เข้ากับแนวโน้มโลก โดยเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ และให้ความสำคัญกับความยั่งยืน นวัตกรรม และมาตรฐานสากล

ถ้าสามารถพัฒนาในทิศทางนี้ ไทยจะไม่เพียงแค่เป็นผู้ส่งออกอาหาร แต่จะกลายเป็น “ศูนย์กลางนวัตกรรมอาหาร” ที่ตอบโจทย์ตลาดโลกในอนาคต