พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 ให้ความหมายของคำดังต่อไปนี้
“ซื่อสัตย์” หมายถึง ประพฤติตรงและจริงใจ, ไม่คิดคดทรยศ, ไม่คดโกงและไม่หลอกลวง
“สุจริต” หมายถึง ความประพฤติชอบ
และ “ประจักษ์” หมายถึง ปรากฏชัด อาจเป็นทางตาหรือใจก็ได้ เช่น ประจักษ์แก่ตา ประจักษ์แก่ใจ
เหตุที่ผู้เขียนหยิบยกเอาความหมายของคำสามคำนี้ขึ้นมา เนื่องจากในการประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2568 ภายหลังจากที่ครม.พิจารณาวาระต่างๆ เสร็จสิ้น ได้มีการประชุมลับต่อทันที โดยเชิญผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องออกจากห้องประชุมทั้งหมด โดยเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ได้แจ้งที่ประชุมว่า อยากให้ คณะรัฐมนตรีทำหนังสือถึงศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อขอศาลรัฐธรรมนูญระบุให้ชัดถึงคำนิยามของคนที่ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ เพื่อให้เกิดความชัดเจนเรื่องคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในครั้งไปต่อไป
โดยสืบเนื่องมาจากกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติ เนื่องจากไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง กรณีแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี
อย่างไรก็ตาม ในญัตติของพรรครวมฝ่ายคานที่ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้มีบางช่วงบางตอนนิยามถึงคำนี้เอาไว้ ว่า
“นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ยังไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ มีพฤติการณ์เอาเปรียบประชาชน เอาเปรียบสังคมโกหกหลอกลวง ไม่ดำเนินการตามนโยบายที่ให้สัญญาไว้กับประชาชน เป็นนั่งร้านช่วยเหลือต่างตอบแทนกลุ่มบุคคลที่เป็นปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตยบริหารบ้านเมืองผิดพลาดล้มเหลวอย่างร้ายแรง ทั้งในด้านการเมือง การปฏิรูปกองทัพ ความมั่นคง เศรษฐกิจ คุณภาพชีวิต สิ่งแวดล้อมทำลายนิติรัฐ ทำลายระบอบประชาธิปไตยระบบรัฐสภา เจตนา ตลอดจนปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นภายใต้การบริหารงานของตนเอง
ทั้งยังทุจริตเชิงนโยบาย บริหารบ้านเมืองเพื่อเอื้อผลประโยชน์แก่พวกพ้องและกลุ่มทุน แต่งตั้งบุคคลที่ขาดความเหมาะสม ขาดความรู้ความสามารถ หรือไม่ซื่อสัตย์สุจริตไปเป็นรัฐมนตรีหรือตำแหน่งสำคัญอื่น”
อย่างไรก็ตาม นิยามของพรรคร่วมฝ่ายค้านเป็นดังที่กล่าวมาข้างต้น หากแต่น่าสนใจที่สุดแล้วศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้พิจารณาและมีคำตอบให้กับรัฐบาลหรือไม่อย่างไร