เสือตัวที่ 6

ชัยชนะในการต่อสู้ท่ามกลางความเห็นต่างของฝ่ายรัฐกับกลุ่มเห็นต่างทางลัทธิการเมืองของคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 66/2523 ลงวันที่ 23 เมษายน 2523 ที่กำลังมีชีวิตใหม่ขึ้นมาในห้วงนี้ ได้กำหนดนโยบายสำคัญในการต่อสู้ของรัฐกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย (พ.ค.ท.) ด้วยหลักการสำคัญคือการใช้หลักการเมืองนำการทหาร โดยมีปัจจัยสำคัญที่มีผลให้เกิดความสำเร็จตามเป้าหมายของคำสั่งฯ ที่ 66/23 คือการนำสันติภาพกลับมาสู่ดินแดนแห่งการสู้รบกันด้วยอาวุธอันเนื่องมาจากความขัดแย้งแตกต่างทางความคิด อุดมการณ์ทางลัทธิการปกครองระหว่างความเชื่อตามอุดมการณ์ประชาธิปไตยที่มีรัฐเป็นตัวแสดงนำกับความเชื่อตามอุดมการณ์สังคมนิยมคอมมิวนิสต์ที่มี พ.ค.ท.เป็นตัวแสดงนำ นั่นก็เพราะการยอมรับความแตกต่างทางความคิด ความเชื่อ อุดมการณ์ของฝ่ายเห็นต่าง หากแต่ยุทธศาสตร์สำคัญที่เป็นปัจจัยนำมาซึ่งสันติภาพก็คือ การที่รัฐไทยได้รับความเห็นพ้องตอบรับข้อเรียกร้องของรัฐไทยในการให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนเลิกให้การสนับสนุนพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอย่างสิ้นเชิง นั่นเองจึงเป็นเหตุสำคัญให้พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยอ่อนแอลงอย่างมากจนกระทั่งหมดศักยภาพในการต่อสู้ด้วยอาวุธกับรัฐไทยลงอย่างมีนัยยะชัดเจน และเมื่อรัฐไทยใช้คำสั่งฯ ที่ 66/23 จึงเป็นประตูทางออกให้คู่ขัดแย้งวางอาวุธและออกมาแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี

ย้อนรอยในปี 2494 พรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย ประกาศให้การสนับสนุนการปฏิวัติประชาชนด้วยวิธีรุนแรงคือการต่อสู้ด้วยอาวุธด้วยการทำสงครามยืดเยื้อ โดยในขั้นต้นจะต้องปลดปล่อยมวลชนในชนบทที่ห่างไกลความเจริญ นำความยากจน ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐมาเป็นเงื่อนไขในการปลุกระดมให้คนมาร่วมอุดมการณ์ต่อสู้กับรัฐเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐมาเป็นของตนเอง ปกครองตนเองตามวิถีของความเท่าเทียมที่มีประชาชนเป็นใหญ่ เป็นเจ้าของอำนาจรัฐที่แท้จริงในแบบสังคมนิยม และด้วยวิธีการดังกล่าวจึงทำให้คนในชนบทห่างไกลความเจริญห่างไกลการพัฒนาจากรัฐเหล่านั้นสามารถล้อมเมือง หรือที่เรียกกันว่านโยบายป่าล้อมเมือง และในวันที่ 7 – 8 ส.ค.2508 กองกำลังติดอาวุธของ พ.ค.ท.ก็เข้าปะทะกับกองกำลังของรัฐไทยโดยตรงเป็นครั้งแรกที่บ้านนาบัว อ.เรณูนคร จังหวัดนครพนม หรือที่เรียกกันว่า วันเสียงปืนแตก ซึ่งถือว่าเป็นวันเริ่มต้นของสงครามปฏิวัติประชาชนในประเทศไทย

นับแต่นั้นมาการต่อสู้ระหว่างรัฐกับ พ.ค.ท. ก็เป็นสงครามยืดเยื้อที่มีการสูญเสียชีวิตทั้งสองฝ่ายจำนวนมากท่ามกลางความขัดแย้งแตกต่างทางความคิดความเชื่อทางอุดมการณ์การเมืองของทั้งสองฝ่ายที่ไม่มีทีท่าว่าจะสงบสุขขึ้นมาได้ จนกระทั่งรัฐบาลออกคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรีที่ 66/2523 มาใช้เป็นแนวทางในการต่อสู้เพื่อเอาชนะคอมมิวนิสต์ด้วยแนวทางที่รัฐ ยอมรับความเห็นต่าง ให้ฝ่าย พ.ค.ท.ยอมวางอาวุธแล้วกลับมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยด้วยกัน โดยรัฐจะให้ที่ทำกิน ที่อยู่อาศัย ให้อาชีพตามความเหมาะสม และยอมรับฟังความคิดเห็นของคนกลุ่มนี้ อย่าไรก็ตาม แม้คนเหล่านี้จะยอมวางอาวุธและมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติด้วยกัน หากแต่พวกเขาก็ยังมั่นคงแน่วแน่ในหลักการความเสมอภาค สิทธิ เสรีภาพและอำนาจรัฐเป็นของประชาชนอย่างเท่าเทียมอยู่เสมอต้นเสมอปลาย การต่อสู้ทางความคิดก็ยังคงดำรงอยู่ต่อไปในรูปแบบที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัยในแต่ละสถานการณ์

แม้คำส่งฯ ที่ 66/23 จะดูงดงามจากความสำเร็จที่สามารถยุติสถานการณ์สู้รบจนต้องสูญเสียเลือดเนื้อและชีวิตของคนไทยด้วยกันอันเป็นผลมาจากความเชื่อในอุดมการณ์ทางการเมืองที่ดูจะแตกต่างกัน แต่แท้จริงแล้ว คำส่งฯ ที่ 66/23 เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินการระดับยุทธศาสตร์ของรัฐที่สามารถนำความเห็นพ้องของรัฐบาลจีนโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศจีนซึ่งเป็นยักษ์ใหญ่ของค่ายคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นกับรัฐไทยที่ต้องยกเลิกการสนับสนุนทุกประการกับ พ.ค.ท.อย่างสิ้นเชิง นับเป็นยุทธศาสตร์การเอาชนะฝ่ายเห็นต่างได้อย่างแยบยลเหนือชั้นที่ผู้นำรัฐไทยในขณะนั้นสามารถพูดคุยจนกระทั่งนำความร่วมมือในการแก้ปัญหาสงครามในประเทศไทยได้เป็นอย่างดียิ่งจากมหาอำนาจจีนได้ในที่สุด

ความงดงามของนโยบายตามคำสั่งฯ ที่ 66/23 จึงยังคงหอมหวลให้รัฐบาลปัจจุบันมีแนวคิดที่จะนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ปลายด้ามขวานอีกครั้งหนึ่ง โดยกลางเดือน ก.พ.68 เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ กล่าวถึงความคืบหน้าการจัดทำยุทธศาสตร์แก้ปัญหาภาคใต้ฉบับใหม่ว่า ในยุทธศาสตร์ใหม่มีหลายประเด็นโดยเฉพาะการนำผู้เห็นต่างกับเข้าสู่สังคมคล้ายกับนโยบายตามคำสั่งฯ ที่ 66/23 ที่ใช้การเมืองนำการทหาร เปิดประตูให้คนในขบวนการแบ่งแยกการปกครองจากรัฐ ยอมวางอาวุธและออกมาเป็นผู้ร่วมพัฒนาชาติไทยเฉกเช่นเดียวกับผลสำเร็จจากนบาย 66/23 เมื่อครั้งก่อน หากแต่แท้ที่จริงแล้ว ผลสำเร็จในการนำสันติภาพมาสู่ดินแดนดังกล่าวได้นั้น มาจากองค์ประกอบสำคัญคือการเอาชนะระดับยุทธศาสตร์กับประเทศที่มีอิทธิพลในการจับอาวุธขึ้นสู้กับรัฐเพื่อลดทอนศักยภาพในการต่อสู้ด้วยอาวุธเสียก่อนเป็นลำดับแรก พร้อมกับการกดดันด้วยอาวุธจากรัฐในทุกรูปแบบกับกองกำลังติดอาวุธ ควบคู่กับการเปิดประตูให้คู่ขัดแย้งมีโอกาสยอมวางอาวุธและหันมาต่อสู้ทางความคิดแสวงหาทางออกจากปัญหาและความเห็นต่างด้วยกันกับรัฐด้วยสันติวิธี และในครั้งนี้ การเอาชนะระดับยุทธศาสตร์กับรัฐที่มีอิทธิพลในการต่อสู้ของขบวนการร้ายแห่งนี้ จึงเป็นตำตอบสำคัญที่จะนำสันติภาพมาสู่พื้นที่ปลายด้ามขวานได้อย่างที่ต้องการ