จากวาทะกรรม “ไล่หนู ตีงูเห่า” ของ ทักษิณชินวัตร ที่ศรีสะเกษ สู่ปฏิบัติการ สส.พรรคภูมิใจไทยและสว.สายสีน้ำเงินวอล์กเอาต์ออกจากห้องประชุมรัฐสภาในการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ จนเป็นเหตุให้สภาล่ม
ในจังหวะที่เหมือนจะถอยร่นทางการเมือง ของพรรคเพื่อไทย ในการเทเสียงไปสนับสนุนญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ เพียยุระ สมาชิกวุฒิสภาที่เสนอให้ส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความก่อน เมื่อเกมเลื่อนญัตติของ นพ.เปรมศักดิ์ขึ้นมาไม่สำเร็จ สส.และสว.วอล์กเอาต์ จนนำไปสู่สภาฯล่ม เมื่อเริ่มประชุมในอีกวันจึงล่มสภาด้วยเกมนับองค์ประชุม
และตามมาด้วย วาทะ “หน้าตัวเมีย” จากปากของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย หลังถูกตรวจสอบที่ดินสนามกอล์ฟแรนโช ชาญวีร์ รีสอร์ต แอนด์ คันทรี คลับ ของครอบครัวว่าทับซ้อนกับพื้นที่ สปก.หรือไม่
ความสัมพันธ์แบบ “ตบ-จูบ” ในพรรคร่วมรัฐบาล ดูเหมือนจะมีตัวแปรสำคัญเข้ามาในเกม เมื่อพรรคภูมิใจไทย ที่เคยแลกหมัดวัดดวงกับพรรคเพื่อไทย กรณีสนามกอล์ฟอัลไพน์ กับกรณีเขากระโดง มีคนเปิดแผลเพิ่ม แม้กรมที่ดินจะแถลงยืนยันว่า เป็นที่ดินที่ได้มาอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และไม่ได้ซื้อมือแรก เป็นการซื้อต่อชาวบ้านที่นำมาขายต่อ
แม้จะมีการคาดการณ์ว่า กรณีสนามกอล์ฟของ ครอบครุวนายอนุทิน อาจลงเอยในแบบเดียวกับกรณีที่เกิดขึ้นกับ การตรวจสอบคนใกล้ชิดของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐก่อนหน้านี้คือเลิกแล้วกันไปก็ตาม
แต่น่าสนใจก็คือ การตรวจสอบที่ดินดังกล่าว นำไปสู่การจับตาเชื่อมโยงไปถึง “พรรคกล้าธรรม” ที่จะเป็น “ตัวแปร” สำคัญในสมการการเมือง
ที่กล่าวกันก่อนหน้านี้ว่า การเมืองไทยมี 3 ก๊ก คือ พรรคเพื่อไทย พรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาชนนั้น ไม่อาจละสายตาจากพรรคการเมืองเอสเอ็มอีพรรคนี้ได้
ยิ่งในสถานการณ์ที่จะเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อสำคัญ ที่มีการพูดถึงกำหนดการหรือไทม์ไลน์ในการปรับคณะรัฐมนตรี หลังศึกอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยแล้ว สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาลยิ่งแหลมคมยิ่ง