เสรี พงศ์พิศ

Fb Seri Phogphit

ลัทธิล่าอาณานิคมเริ่มตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 เมื่อประเทศในยุโรปออกสำรวจทางทะเลและขยายอาณาเขตของตน และดำเนินต่อไปจนถึงช่วงกลางศตวรรษที่ 20 เมื่อขบวนการเรียกร้องเอกราชทำให้ดินแดนที่เคยตกเป็นอาณานิคมได้รับอิสรภาพ

ประเทศมหาอำนาจช่วงแรกนำโดยสเปนและโปรตุเกส ตามด้วยเนเธอร์แลนด์ อังกฤษ และฝรั่งเศส ต่อมา เบลเยียม เยอรมนีและอิตาลี เข้าไปล่าอาณานิคมในแอฟริกา

ขณะที่จักรวรรดิรัสเซีย/สหภาพโซเวียตขยายอาณาเขตเข้าสู่เอเชียกลาง ไซบีเรีย คอเคซัส และต่อมามีอิทธิพลเหนือยุโรปตะวันออก อีกฟากหนึ่ง สหรัฐอเมริกาก็ดำเนินลัทธิตั้งถิ่นฐานในทวีปอเมริกาเหนือ ยึดพื้นที่คนพื้นเมืองและของเม็กซิโก และครอบครองดินแดนโพ้นทะเล เช่น ฟิลิปปินส์ เปอร์โตริโก และกวม

โดยไม่ลืมจักรวรรดิญี่ปุ่นที่ล่าอาณานิคมในเกาหลี ไต้หวัน แมนจูเรีย และบางส่วนของแปซิฟิก

รวมไปถึงระยะสั้นๆ ระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองที่รุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ยุคอาณานิคมสิ้นสุดลงในช่วงกลางถึงปลายศตวรรษที่ 20 กระนั้น มรดกจากยุคอาณานิคมยังคงส่งผลต่อการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมของโลกจนถึงปัจจุบัน ที่สำคัญ ลัทธิล่าอาณานิคมเปลี่ยนเพียง “รูปแบบ” เท่านั้น ในทางทฤษฎีและปฏิบัติ คือ “ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่” (Neo-Colonialism)

ซึ่งหมายถึงแนวทางการควบคุมอิทธิพลทางเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม หรือการทหารของประเทศมหาอำนาจที่มีต่อประเทศกำลังพัฒนา โดยไม่ใช้การยึดครองทางดินแดนโดยตรงเหมือนลัทธิล่าอาณานิคมแบบเก่า แต่ใช้เครื่องมือทางเศรษฐกิจ การลงทุน หนี้สิน องค์กรข้ามชาติ และกลยุทธ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ในการครอบงำ

ลัทธิล่าอาณานิคมใหม่เป็นรูปแบบการควบคุมที่ซับซ้อนและไม่ใช้การยึดครองทางทหารโดยตรง แต่ประเทศมหาอำนาจยังคงมีอิทธิพลผ่านโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การเงิน และวัฒนธรรม ทำให้ประเทศกำลังพัฒนาต้องพึ่งพิงและไม่สามารถพัฒนาเป็นอิสระได้อย่างแท้จริง

ถ้าคิดแบบอันโตนิโอ กรัมชี เจ้าของทฤษฎี “อำนาจนำทางวัฒนธรรม” (cultural hegemony) ก็อธิบายว่า ชนชั้นปกครองไม่ได้รักษาอำนาจไว้เพียงแค่การใช้กำลัง (coercion) เท่านั้น แต่ยังใช้การครอบงำทางอุดมการณ์และวัฒนธรรม (consent) เพื่อทำให้สังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจที่พวกเขาสร้างขึ้นโดยไม่รู้ตัวและไม่โต้แย้ง

ในปัจจุบัน "อำนาจนำระดับโลก" (Global Hegemony) ไม่ได้เกิดจากแค่กำลังทหารหรือเศรษฐกิจ แต่ยังมาจากการครอบงำทางอุดมการณ์ การใช้ "ซอฟต์พาวเวอร์" และการควบคุมสถาบันระหว่างประเทศ โครงสร้างอำนาจเหล่านี้ทำให้ระบบที่เป็นอยู่ดูเหมือนเป็นเรื่องปกติและไม่มีทางเลือกอื่น

ผู้ครอบงำโลกในปัจจุบันที่เห็นกัน คือ สหรัฐอเมริกาและระเบียบโลกแบบเสรีนิยมตะวันตก โดย

สหรัฐฯ และพันธมิตรตะวันตก (เช่น สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น) ใช้อำนาจนำผ่านกองทัพ (NATO, ฐานทัพทั่วโลก) และสถาบันทางเศรษฐกิจ (IMF, World Bank)

ดอลลาร์สหรัฐ ยังคงเป็นสกุลเงินหลักของโลก ทำให้สหรัฐฯ สามารถครอบงำระบบการเงินระหว่างประเทศ สื่อมวลชนตะวันตกควบคุม “เรื่องเล่า” ของโลก ทำให้มุมมองของตะวันตกกลายเป็น "ความจริงสากล"

ถ้ากรัมชีฟื้นคืนมา เขาคงวิพากษ์วิจารณ์ระเบียบโลกนี้ว่าเป็น "ระบบอำนาจนำที่ซ่อนเร้น" ซึ่งทำให้โลกยอมรับการครอบงำของตะวันตกโดยไม่ตั้งคำถาม

จีนมีลักษณะของอำนาจนำเช่นกัน โดยใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจแทนการครอบงำทางวัฒนธรรม

ผ่านโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ซึ่งใช้การลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเพื่อสร้างเครือข่ายอิทธิพล ใช้ซอฟต์พาวเวอร์ ผ่านเทคโนโลยี เช่น Huawei, TikTok, ปัญญาประดิษฐ์ และการเผยแพร่อุดมการณ์ทางเศรษฐกิจของตน

วันนี้ "ผู้ปกครองที่แท้จริงของโลก" อาจไม่ใช่รัฐชาติอีกต่อไป แต่เป็น บรรษัทข้ามชาติ เช่น Amazon, Google, Microsoft, Apple, BlackRock, Alibaba, LVMH ฯลฯ

ระบบการเงินโลก ถูกควบคุมโดยชนชั้นนำทางการเงิน เช่น IMF, World Economic Forum และธนาคารเท็คยักษ์ใหญ่ และโซเชียลมีเดีย (Google, Facebook, TikTok ฯลฯ) ควบคุมข้อมูลข่าวสาร ทำให้พวกเขามีอิทธิพลต่อความคิดของประชาชนทั่วโลก และการพัฒนาอย่างรวดเร็วของปัญญาประดิษฐ์ที่ “ปฏิวัติ” เทคโนโลยี

ในทรรศนะของกรัมชี "อำนาจนำของทุนข้ามชาติ" ในยุคดิจิทัล ปัญญาประดิษฐ์ เป็นระบบที่ไม่มีความรับผิดชอบต่อประชาชน และทำให้ “ประชาธิปไตย” ถูกลดทอนความสำคัญลง จนเป็นการ “ผูกขาด” อำนาจ

นอกนั้น สิ่งที่มาแบบ “เนียนๆ” คือ โครงการพัฒนาแบบให้ความช่วยเหลือของสหรัฐฯ ยุโรป และประเทศพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งใช้แนวคิด "พัฒนา" เพื่อรักษาอำนาจนำของตะวันตก กลบกลืนคุณค่าภูมิปัญญาท้องถิ่นของประเทศกำลังพัฒนา อ้างบุญคุณที่ได้ช่วย แม้แค่ “เศษเนื้อข้างเขียง”

ขณะเดียวกัน สื่อและอุตสาหกรรมวัฒนธรรมที่ครอบงำทำให้แนวคิดของตะวันตกกลายเป็น "ความปกติ" และบดบังความเป็นไปได้ของระบบทางเลือก ทำให้ “คุณค่า” ของตะวันตกเป็น “คุณค่าสากล”

แนวคิดของกรัมชีช่วยให้เราเข้าใจว่า อำนาจนำระดับโลกทุกวันนี้ไม่ได้อาศัยแค่กำลังทหารหรือเศรษฐกิจ แต่ยังควบคุมอุดมการณ์ วัฒนธรรม และสำนึกของประชาชนทั่วโลก ระเบียบโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะนำโดย สหรัฐฯ ยุโรป จีนหรือทุนข้ามชาติ ล้วนแข่งขันกันเพื่อครอบงำโลก มากกว่าปลดปล่อยมนุษยชาติ

ตามแนวคิดของกรัมชี การต่อต้านอำนาจนำที่แท้จริง ต้องไม่ใช่แค่การเปลี่ยนตัวมหาอำนาจ แต่ต้องสร้าง "ขบวนการต้านอำนาจนำ" (Counter-Hegemony Movement) ที่ท้าทายทั้งระบบเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรมของโลกปัจจุบัน