ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
สัปดาห์ที่แล้วเราได้ทิ้งท้ายกันไว้ด้วยการแอบคิดดังๆว่า การที่ทรัมป์ใช้มาตรการภาษีต่อประเทศต่างๆจะนำไปสู่เทรนด์ใหม่ของโลก ในทางการเมืองและการค้าระหว่างประเทศ หรือ โลกาภิวัตน์ ในภาพรวมหรือไม่? วันนี้เราจะมาลองวิเคราะห์ประเด็นนี้กันครับ
ทุกท่านครับ โลกของเราภายหลังจากสงครามเย็นเป็นต้นมา ได้เข้าสู่ยุคของการพัฒนาการค้าระหว่างประเทศภายใต้แนวคิดของโลกเสรีที่เป็นผู้ชนะในสงครามเย็น และแน่นอนว่าหัวหอกสำคัญของโลกเสรีก็คือยักษ์ใหญ่ที่ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา นั่นเอง
หลังจากนั้นเป็นต้นมา การค้าการขายระหว่างประเทศของประเทศทั่วโลก ได้ให้ความสำคัญกับการ “ลดกำแพง” การค้าระหว่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผ่าน WTO หรือการพูดคุยกันผ่านองค์กรระหว่างประเทศอื่นๆ หรือระดับภูมิภาค หรือแม้แต่ระดับชาติในรูปแบบพหุภาคี เพื่อเดินหน้าเข้าสู่การค้าเสรีที่ไม่มีกำแพงต่อกัน กล่าวได้ว่า “หัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจหลังสงครามเย็นคือการลดอุปสรรคทางการค้า”
การค้า และ การเมืองระหว่างประเทศ เดินหน้าเข้าสู่การจับมือกันเป็นกลุ่มก้อน เพื่อสร้างความร่วมมือกันมากขึ้น เรียกว่า โลกทั้งใบเดินอยู่ภายใต้ยี่ห้อ “liberalism” แบบค่อนข้างชัดเจน เมื่อประกอบร่างกันเข้ากับการพัฒนาทางเทคโนโลยีการติดต่อสื่อสาร การคมนาคมสื่อสาร ทำให้โลกใบนี้เชื่อมโยงกันมากขึ้น ดูเล็กลง จนกลายเป็นคำฮิตติดปากคนทั้งโลกว่า “Globalization” หรือ โลกาภิวัตน์ ในภาษาบ้านเรา
ขีดเส้นใต้เบาๆตรงนี้ เราปฏิเสธไม่ได้ว่า “การพยายามลดกำแพงการค้าระหว่างกัน” เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา การเกิด และการคงอยู่ของ “โลกาภิวัตน์” ภายหลังสงครามเย็น ภายใต้แนวคิด liberalism ที่เกิดและเติบโตจากสหรัฐอเมริกา
ในขณะที่การลุกขึ้นมาใช้นโยบายเพิ่มอัตราภาษีของทรัมป์นับตั้งแต่ปี 2018 รวมถึงปัจจุบันนั้น เป็นนโยบายที่สอดคล้องกับแนวคิดเชิง “Protectionism” ที่เอาจริงๆแล้วก็เป็นฝั่งตรงข้ามกับแนวคิด “การลดกำแพงการค้า” และ “การค้าเสรี” จุดนี้เองที่เป็นที่มาของความกังวลว่า หากยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐฯหันมาเดินทางสายใหม่ สถานการณ์ของการค้าเสรีของโลกเราจะเป็นอย่างไร และการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ของสหรัฐฯจะส่งผลอย่างไรต่อเทรนด์การค้าและการเมืองโลกในอนาคตข้างหน้า
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นเป็นไปได้หลายอย่าง อาทิ การทำลายห่วงโซ่อุปทานของโลก โดยเฉพาะในส่วนที่พึ่งพาการค้าเสรีอยู่ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้สามารถคาดการณ์และรักษาต้นทุนให้ต่ำได้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การขึ้นเพดานภาษีอาจนำมาซึ่งการตอบโต้ซึ่งกันและกัน อันจะนำไปสู่ผลกระทบทั้งทางด้านการผลิตและการค้า ที่จะกระทบต่อกันไปอีกเป็นลูกโซ่เส้นยาว ต้นทุนของสินค้าต่างๆอาจสูงขึ้นทั่วโลก คนที่เจ็บหนัก ก็คงไม่พ้นประเทศเล็กๆ และประชาชนของประเทศเหล่านั้น
สงครามการค้าและมาตรการตอบโต้ต่างๆที่อาจเกิดขึ้น นอกจากจะส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค หรือประชาชนของสหรัฐและโลกแล้ว ความผันผวนของนโยบายและการตอบโต้กันไปมาก็ยังอาจกระทบต่อตลาดโลกและความมั่นใจของนักลงทุน สิ่งที่ตามมาอาจกลายเป็นการลงทุนที่ลดลง ผู้คนต่างหยุดนิ่งและเฝ้าดูสถานการณ์จนอาจเกิดปัญหาทางเศรษฐกิจอื่นๆตามมา นอกจากนี้ การจัดการแก้ไขข้อพิพาททางการค้าด้วยวิธีขึ้นภาษีใส่กันไปมา ก็ไม่ต่างอะไรกับการข้ามหัวองค์การระหว่างประเทศที่มีความสำคัญ โดยเฉพาะ WTO ที่มีบทบาทสำคัญในการแก้ไขข้อพิพาททางการค้า
สำหรับผู้เขียน สิ่งที่น่ากังวลที่สุด คือการที่องค์กร หรือ การดำเนินการด้านการค้าเสรี จะถูกมองข้าม และลดความสำคัญลง ภายใต้โลกใหม่ที่แนวคิด protectionism อาจขยับมาเป็นเทรนด์ใหม่ของโลก
ที่กล่าวมานี้ไม่ได้หมายความว่า การค้าเสรี ดีกว่า protectionism นะครับ ทั้งคู่มีดีมีเสีย และในหลายๆครั้ง ก็จำเป็นที่จะต้องผสมผสานทั้งสองแนวคิด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ซึ่งความน่ากลัวของสิ่งที่ผมกังวล คือการขาดซึ่ง “สมดุล” ระหว่างสองแนวคิดที่มีความสำคัญต่อการค้าและการเมืองของโลก หากเสรีมากไป บางเรื่องก็ควบคุมได้ยาก แต่หากควบคุมมากไป ก็ขาดเสรีและความร่วมมือ
ประเทศไทยในฐานะที่เป็นหนึ่งในประเทศที่ผลิตสินค้าที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทาน ก็อาจต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะข้อเท็จจริงที่ว่าประเทศไทยเป็นประเทศส่งออกที่เกือบทั้งหมดของรายได้มาจากการส่งออก ดังนั้น หากเกิดปัญหาขึ้นกับการค้าระหว่างประเทศในอนาคต จากสิ่งที่กล่าวมาข้างต้น ประเทศไทยอาจได้รับผลกระทบอย่างไม่น่าประหลาดใจ
ดังนั้น วันนี้ต้องเตรียมพร้อม โดยเฉพาะเตรียมหาทางออกว่าจะหารายได้อย่างไรในโลกที่เปลี่ยนไป และจะทำอย่างไรให้คนไทยได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งอาจต้องย้อนกลับมาสู่สามัญในการสร้างความเข้มแข็งให้กับประชาชน ลดการพึ่งพาการส่งออกและต่างชาติ
หวังว่าสิ่งที่วิเคราะห์ไปจะผิดพลาดครับ
เอวัง