ทวี สุรฤทธิกุล
มีข่าว “ชั่ว ๆ” ทุกวันในเมืองไทย บางทีก็คิดว่าอยู่ใน “เทาแลนด์” ไม่ใช่ “ไทยแลนด์”
คำว่า “เทา” ทุกคนเข้าใจว่าคือการทำชั่วที่จับไม่มั่นคั้นไม่ตาย เพราะเป็นความชั่วที่แอบกระทำ หรือมีผู้ร่วมกระบวนการที่เป็น “ขาใหญ่” จนไม่สามารถจะจัดการเอาผิดได้ แต่ที่ “ชั่ว” ไปกว่านั้นก็คือมีคนบางคนที่ “ตั้งใจ” ทำให้มันเป็นสีเทา เพื่อจะได้กอบโกยหากินกันได้สะดวกบริบูรณ์
ความชั่วสีเทานี้ส่วนใหญ่จะเป็นความชั่วที่เกิดจากการใช้อำนาจในทางที่ผิด โดยเฉพาะผู้ที่มีหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมาย ซึ่งก็คือ “ข้าราชการ” นั่นเอง ซึ่งตามข่าวสารต่าง ๆ กลุ่มข้าราชการที่กระทำความชั่วในลักษณะนี้มากที่สุดก็คือ “ตำรวจ” เพราะตำรวจใช้กฎหมายที่ตนเองถืออยู่ทำร้ายประชาชนอยู่เสมอ จนเหมือนว่าจะกลายเป็น “วัฒนธรรม” คือที่ไหนมีตำรวจ ที่นั่นประชาชนต้องมีทุกข์ ประชาชนต้องถูกรีดนาทาเร้น ตลอดจนถูกตั้งข้อหาให้มีความผิดต่าง ๆ อย่างกับว่าสิ่งนี้เป็น “ความเป็นปกติ” ของการเป็นตำรวจ
ว่ากันไปแล้ว อาชีพตำรวจเป็นอาชีพที่มีกรรมมาก ๆ อย่างที่คำสวดในเวลาบังสุกุลตรงท่อนที่ว่า “มีกรรมเป็นกำเนิด มีกรรมเป็นทายาท มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย” ดังนั้นไหน ๆ เมื่อเกิดมีกรรมแล้ว ก็ก้มหน้ารับกรรม “ทำมาหากินร่วมกับมัน(คือกรรมเหล่านั้น)ต่อไป” จนกว่าจะหมดเวรหมดกรรม (ฮาได้ไหมเนี่ย)
กรรมของตำรวจนั้นเป็นเพราะตำรวจเป็นอาชีพที่ต้อง “เกลือกกลั้ว” กับคนชั่วคนเลวตลอดชีวิต นั่นก็คือผู้ร้าย อาชญากร หรือผู้กระทำความผิด อย่างในสมัยก่อนนั้น ถ้าใครอยากเป็นมือปราบที่เก่ง ๆ ก็ต้องไปนักเลงหรือโจรปล้นต่าง ๆ มาเป็นลูกน้อง นัยว่าเอาไว้สืบข่าวหาตัวผู้ร้ายและโจรอื่น ๆ แต่ต่อมาก็เลี้ยงไว้เป็นไม้เป็นมือ คอยทำงานชั่ว ๆ ทั้งหลายให้ รวมถึงเอาไว้สร้างอิทธิพลและสร้างรายได้ต่าง ๆ
อีกอย่างหนึ่ง ตำรวจต้องอยู่ในสิ่งแวดล้อมหรือสถานที่ “ชั่ว ๆ” ที่ชอบมากมาแต่โบราณก็คือพวกโรงพนันและซ่องโสเภณี รวมถึงโรงยาฝิ่นและดงนักเลง เพราะในสถานที่เหล่านี้คือแหล่งขุดเงินขุดทองโดยไม่ต้องลงแรง เพียง “อ้าปาก” โดยไม่ต้องส่งเสียงขู่ใด ๆ ก็มีคนเอาเงินมายัดใส่ถึงปากอยู่ทุกวัน
แหล่งความชั่วเหล่านี้คือ “สวรรค์” ของตำรวจ ดังนั้นในทุกวันนี้ ยิ่งโรงพักใดมีแหล่งความชั่วมาก ๆ ก็จะทำให้ตำรวจมีรายได้มาก อย่างในกรุงเทพฯ ตำรวจนครบาลจะมีการแบ่งเกรดโรงพักไว้วิ่งเต้นกัน แล้วก็มีการจัดราคาให้กับลำดับการบังคับบัญชาอีกทีหนึ่ง เช่น เกรดเอ ติดป้ายว่า 3-5-7 คือโรงพักที่มีอบายมุขมาก ๆ สารวัตร 3 ล้าน รองผู้กำกับ 5 ล้าน และผู้กำกับ 7 ล้าน เป็นต้น (นั่นคือราคาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว ที่ญาติของผู้เขียนผู้เป็นตำรวจคนหนึ่งต้องไปหามาจ่ายให้ “นาย”) ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจที่มีข่าวว่า ในวันนี้ตำแหน่งผู้กำกับตำรวจที่สถานีแม่สอด จึงมีราคาถึง 30 ล้านบาท แล้วลองคิดดูถ้านายตำรวจคนไหนมีลูกน้องเป็นสารวัตร รองผู้กำกับ และผู้กำกับมาก ๆ เขาจะมีรายได้ในการแต่งตั้งโยกย้ายแต่ละปีมหาศาลแค่ไหน !
ขอเรียกระบบหรือวัฒนธรรมการทำมาหากินแบบนี้ว่า “ดาวลูกโซ่” (เลียนแบบแชร์ลูกโซ่ที่มีการคุมรายได้กันเป็นชั้น ๆ แต่นี่ตำรวจคุมรายได้กันเอง ก็ไล่เบี้ยกินกันลงมาเป็นชั้น ๆ เช่นกัน) ที่น่ากลัวก็คือเป็นดวงดาวที่สว่างไสว กี่ยุคกี่สมัยที่พยายามจะปฏิรูปตำรวจก็ทำอะไรให้ตำรวจดีขึ้นไปกว่านี้ไม่ได้ (ร้องไห้)
แล้ววันหนึ่งเราก็มีผู้นำที่มีอดีตเป็นนายตำรวจ (ขอใช้สรรพนามตามพฤติกรรมอันแสนชั่วนั้นว่า “มัน”) ว่ากันว่ามันมีพันธุกรรมของความชั่วเต็มตัว ตั้งแต่พันธุกรรมด้านบรรพบุรุษที่ว่าเป็นพวกอั้งยี่โจรร้ายมาตั้งแต่สมัยก่อน แล้วยิ่งมันเติบโตมาในคราบและวัฒนธรรมของตำรวจ จึงไม่ต้องสงสัยว่าคนอะไรจะ “ชั่วบริบูรณ์” ได้ขนาดนี้ ดังนั้นพอมาเป็นนักการเมืองก็นำ “ความชั่วทั้งโคตรและสิ่งแวดล้อม” เข้ามารวมไว้ในที่เดียวกัน การเมืองไทยในระยะ 18 ปีที่ผ่านมา “ในอุ้งเท้ามัน” นั้น จึง “ชั่ว-ช้า-เลว-ทราม” ยิ่งด้วยประการทั้งปวง นโยบายอภิมหาโคตรโกงต่าง ๆ ล้วนมาจากสติปัญญาของมันผู้นี้ แล้วยังสืบทอดมาถึงทายาท โดยที่ยังไม่คิดว่าจะมีใครมาโค่นล้มมันผู้นี้ได้
เพื่อไม่ให้เป็นการตำหนิติเตียนแต่เพียงด้านเดียว จึงอยากจะให้ “ความรู้” ด้านวิชาการเพื่อเป็นสติปัญญาไว้สักส่วนหนึ่งว่า คนชั่วแบบนี้ทำไมจึงยัง “เจริญเติบใหญ่” อยู่ได้ในประเทศไทย ทั้งนี้นักรัฐศาสตร์เรียกกระบวนการนี้ว่า “การกล่อมเกลาทางสังคม” (Socialization) ที่มีพัฒนาการไปตามลำดับขั้นอายุ ดังนี้
เริ่มต้น ก็เริ่มจากวัยเด็ก คนที่จะทำอย่างนี้ได้ ต้องมีความชั่วเป็นพื้นฐานอยู่ในสันดาน อย่างเช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายายเคยทำความชั่วมาก่อนเป็นต้น หรือไม่ก็ต้องเติบโตมาในสภาพแวดล้อมที่เลวทราม เช่น ครอบครัวแตกแยก มีการใช้ความรุนแรงในครอบครัว เป็นต้น รวมทั้งอาจจะมีเพื่อนชั่ว ๆ มาตั้งแต่เด็ก ๆ หรือมีคนสอนให้ทำความชั่วมาตั้งแต่เด็ก ๆ เช่น เล่นการพนัน ลักขโมย หรือกระทำลามกอนาจารต่าง ๆ เป็นต้น
ต่อมา เมื่อเข้าไปทำงานในอาชีพต่าง ๆ ก็ถูกสภาพแวดล้อมในที่ทำงานนั้นเอง “กล่อมเกลา” เช่น ถ้าไปทำงานในหน่วยงานที่เน้นเรื่องธรรมาภิบาล คนทำงานก็จะต้องประพฤติตัวตามแบบธรรมาภิบาลทั้งหลายนั้น เช่น ทหารก็ต้องมีระเบียบวินัย รักชาติ และเสียสละ เป็นต้น หรืออย่างกรณีตำรวจไทยก็จะกล่อมเกลากันแบบ “นายร้อยต้องมีรถ นายพันต้องมีพวก นายพลต้องมีอิทธิพล” ก็จะเป็นไปในวัฒนธรรมแบบนั้น
ในขณะเดียวกัน เมื่ออยู่ในตำแหน่งหน้าที่ต่าง ๆ คนที่มีความชั่วอยู่ในกมลสันดานอยู่แล้วนั้น ก็อาจจะพยายามหาช่องทางที่จะใช้ตำแหน่งหน้าที่และอำนาจต่าง ๆ แสวงหาประโยชน์มากขึ้นเรื่อย ๆ ถ้าเป็นข้าราชการก็จะใช้กฎหมายที่ตนเองกำกับและถืออยู่ในมือนั้นแหละเป็นเครื่องมือ ส่วนนักการเมืองจะมีเครื่องมือมากกว่านั้น เช่น เขียนรัฐธรรมนูญให้วางแนวทางให้ตนเองมีอำนาจนาน ๆ ให้อำนาจในการควบคุมองค์กรอิสระ และทำลายระบบการตรวจสอบโดยประชาชน เป็นต้น
โดยเฉพาะในเรื่องสุดท้ายนี้ ผู้เขียนขอเรียกว่า “การทาสีเทา” ให้กับสภาพแวดล้อมต่าง ๆ คือสร้างสิ่งชั่วร้ายต่าง ๆ ให้เกิดขึ้น เพื่อให้คนชั่ว ๆ เหล่านี้ได้ดำมุดแหวกหว่ายลงไปคลุกคุ้ย “กินอยู่” ใน “มูตรคูจ” แบบนั้น
นี่แหละที่บอกว่า “ไทยแลนด์” กำลังจะเป็น “เทาแลนด์” หรือแดนสวรรค์ของพวกสัตว์ร้ายและหนอนเน่าทั้งหลาย !