สถาพร ศรีสัจจัง

เอตทัคคะทางการเมืองผู้คร่ำหวอดหลายท่านบอกว่า ในยุคที่อะไรๆ โดยเฉพาะเทคโนโลยีและกลยุทธ์ด้านการตลาดเคลื่อนเปลี่ยนพัฒนาอย่างรวดเร็ว จนกลุ่มคนที่ได้เปรียบทางสังคมสามารถนำการพัฒนาเหล่านี้มาเป็น'เครื่องมือทางสังคม “(Social Tools)” ในการสร้างกระบวนการเอารัดเอาเปรียบชนชั้นที่ไร้โอกาสได้แบบ “สุดๆ” ยิ่งขึ้นนั้น

ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่เกี่ยวกับการ “ปกครอง” ของรัฐกลับเปลี่ยนแปลงน้อยมาก!

ผู้รู้หลายท่านดังกล่าวระบุว่า ชนชั้นปกครองในยุคที่ “ทันสมัย” สุดๆแบบระบบทุนนิยมบริโภคเสรีครองโลกปัจจุบัน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง (ทั้งที่โดยใช้อำนาจ,ใช้เงินซื้อทั้งทางตรงและทางอ้อม, และหรือใช้กลวิธีใดๆเพื่อให้ได้รับเลือก) ก็ยังสุมหัวกันใช้หลักการปกครองแบบเก่าแก่ของชนชั้นปกครองยุคโบราณอยู่ดังเดิม

นั่นคือใช้กลอุบายหรือยุทธวิธีที่เรียกว่า “แบ่งแยกแล้วปกครอง” (Devide and Rule) !

ที่ว่า “แบ่งแยก” คือแบ่งแยกกลุ่มคนผู้ “ถูกปกครอง” ที่มักเรียกกันโดยทั่วไปว่า “ราษฎร” หรือ “ประชาชน” หรือ “มวลชน” ก็แล้วแต่ ให้แตกออกเป็นเสี่ยงๆ ให้แยกออกเป็นพวกๆ อย่าให้รวมตัวกันได้ อย่าให้จัดตั้ง (Oganize)กันขึ้นได้ เพราะมีบทเรียนในประวัติศาสตร์ทั้งของโลกและของไทยเราเองแสดงให้เห็นเป็นจำนวนมากเสมอมาว่า

เมื่อใดที่ประชาชนหรือผู้ถูกปกครองรวมตัวกันได้ และกล้าลุกขึ้นสู้กับความอยุติธรรมทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดจากน้ำมือของ “ชนชั้นปกครอง”  เมื่อนั้นกลุ่มผู้ปกครองที่ฉ้อฉลก็จะถูกโค่นพินาศลงทุกครั้งไป!

และบรรดานักรัฐศาสตร์ นักปราชญ์ หรือนักคิดคนสำคัญๆของโลกจำนวนมาก ก็แสดงหลักฐานทางความคิดความเห็นไว้เป็นจำนวนมากว่า อำนาจรัฐนั้นเป็น “ปฏิกิริยา” (revisionist)โดยธรรมชาติ มีธรรมชาติของเนื้อหาหลักที่กดขี่ประชาชนอยู่แล้ว และโดยธรรมชาติ “อำนาจรัฐ” ก็คือ “เครื่องมือ” ที่คนกลุ่มหนึ่ง (ซึ่งมักเป็นคนกลุ่มน้อยของสังคม)ใช้สำหรับกดขี่เอารัดเอาเปรียบคนกลุ่มอื่นใน “รัฐ” นั้นๆเพื่อปกป้องและสร้างผลประโยชน์ให้กลุ่มพวกหรือ “ชนชั้น” ของตัวเอง

ในยุคทุนนิยมที่ “ทุน” กับ “อำนาจรัฐ” ผสมพันธุ์กันอย่างแนบแน่น หรือที่เรียกตามภาษาของศาสตราจารย์ธีรยุทธ บุญมีว่า 2 สิ่งนี้ “สมจร” กันอย่างซาบซ่านแนบแน่นนั้น ก็ย่อมเป็นที่แน่นอนว่าอำนาจรัฐจะต้องกลายเป็นเครื่องมือสำหรับการ “ปล้น” ทุกสิ่งทุกย่างไปจากประชาชนยิ่งขึ้น

และจะยิ่งกดขี่กดหัวประชาชนให้ต่ำเตี้ยลงติดดิน เพื่อให้เป็นเหมือน “ทาสสมัยใหม่” ของพวกเขายิ่งขึ้น!

อย่างที่ได้กล่าวมาแล้วแต่ต้น ว่าสังคมมนุษย์ในยุคปัจจุบันได้พัฒนาทั้งวิธีการจัดการและนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีเพื่อสนองผลประโยชน์ของระบบทุนนิยมบริโภคที่มีเป้าหมายสูงสุดอยู่ที่ “เงินเป็นใหญ่ กำไรสูงสุด” ชนชั้นปกครองจึงใช้เครื่องมือทุกอย่างที่จะผูกขาดอำนาจรัฐให้เป็นของพวกตนอย่างเบ็ดเสร็จและถาวร โดยการออกแบบระบบที่ทำให้สามารถ “ควบคุม” ค่านิยมและคติความเชื่อ (วัฒนธรรม) ของสังคมทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทำให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นเหมือนสมยอม (ทาสที่ปล่อยไม่ไป)ให้พวกเขา “ปล้น” ทุกสิ่งทุกอย่างไปสร้างความมั่งคั่งให้พวกตนได้อย่างเป็นระบบ

ถ้าพูดเป็นภาษาของนักรัฐศาสตร์หรือนักสังคม-มานุษยวิทยายุคใหม่ก็คือ พวกเขาวางแผนปล้นมาตั้งแต่ “ต้นน้ำ” !

วิธีการเบื้องต้นของการใช้สูตร “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ก็เช่น การโยน “เศษผลประโยชน์” แบบระบบทุนเข้าไปในชุมชนต่างๆ ทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น เพื่อสร้างเงื่อนไขให้ประชาชนแตกแยกขัดแย้งกันเอง

อีกด้านหนึ่งก็ใช้วิธีการต่างๆนานา “ซื้อ” ประชาชนโดยตรง เช่นการแจกเงินฟาดหัว หรือซื้อคนที่พร้อมจะเป็นข้าทาสบริวารมาเป็นมือตีนทำงานให้ตามสั่ง โดยใช้ทั้งอำนาจเงินและอำนาจทางการเมืองเป็นอามิสหลอกล่อให้ “เหยื่อ” พวกนี้กิเลสโลดเถลิง!

เมื่อได้อำนาจรัฐและจัดวางระบบการจัดการรัฐได้เรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็จะอ้างความชอบธรรมของระบบการเมืองกระแสหลักที่เรียกกันว่า “ประชาธิปไตย” มาท่องเสียงดังๆไว้เป็นคาถาคุ้มครองตัวเอง จากนั้นจึงก่อการสามานย์ทุกอย่างเพื่อ “กวาด” ความมั่งคั่งเข้าไปสุมกองไว้กับตนและหมู่พวกบริวาร

พวกเขาทำได้ทั้งสิ้นโดยไม่เคยรู้จักคำว่า “ความน่าละอาย” “จริยธรรม” หรือ “ผลประโยชน์ของชาติ” ฯลฯ แต่อย่างใด

วิธีการที่ผู้ปกครองใช้กันมาแต่ยุคโบราณและยังคงใช้กันอยู่ในปัจจุบัน ที่เรียกว่า “หลอกลวงและปราบปราม” นั้นเขาทำกันอย่างไรบ้าง?

เริ่มต้นส่วนใหญ่พวกเขาจะใช้วิธีหลอกลวงก่อน การหลอกลวงดังกล่าวจะออกมาในรูปแบบหลากหลาย แต่ด้านหลักมักเป็นสิ่งทันสมัยดูดีที่เรียกมักกันว่า “นโยบาย” (Policy)!

นโยบายที่สวยเริ่ดหรูดูทันสมัยทั้งเล็กใหญ่เหล่านั้น จะถูกจัดทำขึ้นโดยทีมงาน “เทคโนแครต” รับจ้างมืออาชีพ (ที่ส่วนใหญ่ไร้คุณธรรมและเห็นแก่เศษเงินเศษอำนาจที่ถูกโยนมาให้) หลังจากนั้นก็จะระดม “นักการตลาด” และเครื่องมือสื่อสารสมัยใหม่ที่มีอยู่ในมือจัดการโฆษณาชวนเชื่อในทำนอง “โปรโมชัน” กระตุ้นเร้าก่อกระแสยัดใส่หัวประชาชนที่ปรกติมักจะไม่ค่อยมีเวลารับข้อมูลข่าวสารอย่างรอบด้านหรือด้านลึกอยู่แล้ว ให้เห็นดีเห็นงามให้คิดปฏิเสธไม่รอด!

ทั้งอำนาจรัฐที่มีอยู่เต็มมือของพวกเขา ตั้งแต่ระบบกฎหมายจนถึงระบบการศึกษาและระบบการสื่อสาร ทั้งกองกำลังจัดตั้งติดอาวุธที่เรียกว่าตำรวจและทหาร และอื่นๆที่เป็นระบบเครื่องมือของรัฐ ก็จะเป็นตัวข่มขวัญต่อผู้ที่คิดหาญกล้าจะลุกขึ้นต่อกรหรือ “กล้าหือ”

และสุดท้าย ถ้าการหลอกลวงไม่ว่าจะโดยนโยบายหรือโดยกระบวนการอื่นๆไม่ได้ผล ธาตุแท้ในความเป็น “ปฏิกิริยา” ของชนชั้นปกครองก็จะสำแดงตัว นั่นก็คือการใช้กำลังเข้าปราบปรามประชาชนโดยตรงอย่างไม่มีมโนธรรม

ภาพความเป็นจริงข้อนี้แสดงตัวให้เห็นมาแต่ยุคโบราณจนกระทั่งถึงยุคโลกไร้พรมแดนอย่างในปัจจุบัน!

เรื่องราวเหล่านี้มีปรากฏให้เห็นในขอบเขตทั่วโลก กล่าวเฉพาะประเทศไทย ก็เกิดมีให้เห็นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่เหตุการณ์ 14 ตุลาฯ 2516/ เหตุการณ์ 6 ตุลาฯ 2519/ เหตุการณ์ เดือนพฤษภาฯ 2535 หรือเหตุการณ์ทางการเมืองในปี 2553 เป็นต้น

กล่าวโดยสรุปก็คือ ชนชั้นปกครองที่เป็นมักเป็นทรราชนั้น ไม่ว่าจะมีอำนาจหรือรวยล้นฟ้าแค่ไหนแล้วก็ตาม พวกเหล่านี้ล้วนไม่เคยรู้จักพอ และไม่ว่าจะทันสมัยหรือชาญฉลาดสักแค่ไหน คนพวกนี้ก็มักจะยังคงใช้วิธีเก่าๆในการปกครองและ “จัดการ” กับประชาชนอยู่สมอมา

นั่นคือ “แบ่งแยก(หรือทำให้แตกแยก)แล้วปกครอง” แล้วตามด้วยการ “หลอกลวงและปราบปราม”!!

ก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ชนชั้นปกครองเมืองไทย “บ่าเดี๋ยวนี้” (ขอใช้ภาษาเหนือหน่อยเต้อะ เพราะฟังมาว่านายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันเป็นเชื้อสายคนเชียงใหม่นี่ แม้รากเหง้าจะเป็นจีนโพ้นทะเลจันทบุรี ระยองก็เถอะ!)จะยังใช้วิธีการแบบโบร่ำโบราณ(ที่มักได้ผล)เช่นนี้อยู่อีกหรือเปล่า?!!!