เสรี พงศ์พิศ
Fb Seri Phogphit
แม้ว่านักคิด นักปฏิบัติ นักปรัชญาหลายคนได้ตายไปแล้ว แต่ความคิดของพวกเขายังคงอยู่ และได้สร้างพลังและแรงบันดาลใจให้ผู้คน ก่อให้เกิดขบวนการประชาสังคม และการเปลี่ยนแปลงได้ไม่น้อย
อีวาน อีลลิช (Ivan Illich) อดีตบาทหลวง นักปรัชญา นักวิพากษ์สังคมชาวออสเตรีย โด่งดังเพราะ “โรงเรียนตายแล้ว” (Deschooling Society 1971) กับ “แพทย์ เทพเจ้ากาลี” (Medical Nemesis 1975)
หนังสือ “โรงเรียนตายแล้ว” เขาวิพากษ์ระบบการศึกษาในรูปแบบสถาบัน โดยเสนอวิสัยทัศน์เกี่ยวกับระบบการเรียนรู้แบบกระจายอำนาจ ซึ่งเป็นทางเลือกใหม่สำหรับการศึกษาในสังคม ท้าทายรูปแบบการศึกษาแบบดั้งเดิมและผลกระทบทางสังคมในหลายแง่มุม
เขาวิพากษ์สถาบันการศึกษาแบบดั้งเดิมว่าระบบโรงเรียนมักจะสร้างความไม่เท่าเทียมกัน ยับยั้งความคิด
สร้างสรรค์ และทำให้คนพึ่งพาสถาบันการศึกษามากเกินไป เขาเชื่อว่าโรงเรียนเป็นเครื่องมือในการควบคุมสังคม รักษาโครงสร้างลำดับชั้น แทนที่จะส่งเสริมการเรียนรู้และการเติบโตของปัจเจกบุคคล
เขาแยกการเรียนรู้จากการเรียนในโรงเรียน "การเรียนรู้" เป็นกระบวนการธรรมชาติและเกิดขึ้นตลอดชีวิต ส่วน "การเรียนในโรงเรียน" เป็นระบบที่แข็งตัวและถูกจัดการโดยสถาบัน เขาเสนอว่าการเรียนรู้ถูกผูกขาดโดยโรงเรียน ซึ่งเน้นที่การให้ใบรับรองและสถานะทางการศึกษา ทำให้ความรู้เข้าถึงได้น้อยลงและจำกัดรูปแบบความหลากหลาย
เขามองว่าโรงเรียนไม่ได้สร้างบุคคลที่มีการศึกษาดีเสมอไป แต่กลับส่งเสริมการปรับตัวให้เหมือนกันหมด ผลิตคนเหมือนโรงงานอุตสาหกรรม จำกัดความคิดเชิงวิพากษ์ และเน้นการแข่งขันมากกว่าความร่วมมือ
อิลลิชว่า ควรการยกเลิกสถาบันการศึกษา (deschooling) ปลดปล่อยสังคมจากระบบโรงเรียนแบบเดิม โดยแทนที่ด้วยเครือข่ายการเรียนรู้ที่ยืดหยุ่นและกระจายอำนาจ ซึ่งช่วยให้ผู้คนสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ตรง จากเพื่อนๆ และที่ปรึกษาได้
แนวคิดสำคัญในหนังสือคือการสร้าง "เครือข่ายการเรียนรู้” (learning webs) เชื่อมโยงบุคคลที่ต้องการเรียนรู้เข้ากับผู้ที่มีความรู้ ทักษะ หรือทรัพยากรในการสอน ระบบนี้จะขึ้นอยู่กับการมีส่วนร่วมโดยสมัครใจและความร่วมมือ เพื่อให้การเรียนรู้เข้าถึงได้ง่ายและเป็นส่วนตัวมากขึ้นเขาเน้นการเรียนรู้ด้วยตนเองและความเป็นอิสระ ซึ่งบุคคลสามารถควบคุมการศึกษาของตนเองได้ตามความสนใจ ความต้องการ และความสามารถของแต่ละคน แทนที่จะถูกจำกัดด้วยหลักสูตรมาตรฐาน
เขาวิพากษ์บริโภคนิยมในระบบการศึกษา วิจารณ์การศึกษาเป็นสินค้าพาณิชย์ความรู้กลายเป็นผลิตภัณฑ์ที่ต้องบริโภค และความสำเร็จถูกวัดจากใบรับรองและปริญญา มากกว่าทักษะหรือความเข้าใจที่แท้จริง
หลังจาก “โรงเรียนตายแล้ว” อีวาน อิลลิช เขียน “แพทย์ เทพเจ้ากาลี” (1975) ที่คุณหมอสันต์ หัตถีรัตน์แปล (1980 ให้ชื่อหนังสือภาษาไทยที่ “ปังมาก”) สร้างความฮือฮาและปฏิกิริยาจากวงการสาธารณสุขไม่น้อย
เขาวิพากษ์วิจารณ์ระบบการแพทย์สมัยใหม่ที่ก้าวล้ำเกินขอบเขตที่เหมาะสมและผลกระทบที่ไม่พึงประสงค์ที่ตามมา ซึ่งเขาเรียกว่า "Iatrogenesis" (อันตรายที่เกิดจากระบบการแพทย์) โดยมีแนวคิดสำคัญดังนี้
การแพทย์ก้าวล้ำเกินขอบเขต ก้าวข้ามบทบาทที่เป็นประโยชน์ โดยการทำให้กระบวนการปกติในชีวิต เช่น การเกิด การแก่ชรา และการตาย กลายเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษา การทำเช่นนี้บ่อนทำลายความสามารถของผู้คนในการจัดการสุขภาพด้วยตนเองอย่างเป็นธรรมชาติ
เขาบอกว่า ระบบการแพทย์ก่อให้เกิดอันตรายในสามรูปแบบ คือ (1) อันตรายที่เกิดขึ้นโดยตรงจากการรักษาทางการแพทย์ เช่น ผลข้างเคียงของยา ความผิดพลาดในการผ่าตัด หรือการติดเชื้อในโรงพยาบาล (2) ผู้คนพึ่งพาระบบการแพทย์มากเกินไปจนสูญเสียความสามารถในการดูแลสุขภาพของตนเอง และเปลี่ยนความรับผิดชอบเรื่องสุขภาพจากปัจเจกและชุมชนไปสู่ผู้เชี่ยวชาญ และ (3) ระบบการแพทย์ทำให้ผู้คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับกระบวนการธรรมชาติของชีวิต เช่น การแก่ชรา ความทุกข์ทรมาน และความตาย และสร้างความคาดหวังที่ไม่สมจริงต่อสุขภาพและความเป็นอมตะ
เขาชี้ให้เห็นว่าสุขภาพได้ถูก "ยึดไป" จากบุคคลและชุมชนโดยระบบการแพทย์ ซึ่งอาชีพแพทย์เป็นผู้กำหนดว่าอะไรคือสุขภาพหรือความเจ็บป่วย โดยไม่คำนึงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม สังคม หรือความต้องการส่วนบุคคล การรวมศูนย์เช่นนี้ทำให้ผู้คนสูญเสียอำนาจในการรับผิดชอบสุขภาพของตนเอง
เขาวิจารณ์ระบบการแพทย์เชิงอุตสาหกรรม วิจารณ์ระบบสุขภาพที่ขับเคลื่อนด้วยผลกำไร ซึ่งให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี การใช้ยา และการรักษาที่มีราคาแพงมากกว่าการดูแลแบบองค์รวมและการป้องกันโรค เขาเตือนว่าระบบนี้อาจส่งเสริมโรคมากกว่าสร้างสุขภาพที่แท้จริง
เขาเสนอว่าการแพทย์มีขีดจำกัดที่เป็นธรรมชาติในสิ่งที่สามารถทำได้ และเรียกร้องให้ระบบการแพทย์มีความอ่อนน้อมถ่อมตนและยับยั้งตนเอง โดยมุ่งเน้นไปที่การบรรเทาความทุกข์ การป้องกันอันตราย และการเคารพกระบวนการธรรมชาติของชีวิต
แทนที่จะพึ่งพาระบบการแพทย์มากเกินไป เขาสนับสนุนให้บุคคลและชุมชนกลับมาดูแลและควบคุมสุขภาพของตนเอง โดยเน้นการใช้วิธีการดั้งเดิมและปฏิบัติในท้องถิ่นที่ช่วยให้ผู้คนเข้าใจและจัดการสุขภาพโดยไม่ต้องพึ่งการแทรกแซงทางการแพทย์มากเกินไป
เขาเรียกร้องให้สังคมทบทวนเรื่องความทุกข์และความตาย โดยมองว่าสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เป็นธรรมชาติและมีความหมาย แทนที่จะเป็นปัญหาทางการแพทย์ที่ต้อง "แก้ไข" เขาวิจารณ์ระบบการแพทย์ที่ส่งเสริมภาพลวงตาเรื่องความเป็นอมตะ และบ่อนทำลายวิธีการดั้งเดิมในการเผชิญหน้ากับความท้าทายในชีวิต
กว่า 50 ปี ความคิดของอีวาน อิลลิชยังมีพลัง แม้วงการแพทย์และการศึกษาส่วนใหญ่ไม่อยากรับฟัง