ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ
อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ
มหาวิทยาลัยรังสิต
แค่กๆๆ... ขออภัยครับท่านผู้อ่าน สำลักฝุ่นนิดนึง
ฝุ่นมาอีกแล้วคร้าบบ ถึงเวลานี้ของทุกปี เราก็จะได้มีโอกาสมาคุยกันเรื่องนี้ครับ เรียกได้ว่า “คุยเฟื่องเรื่องฝุ่นประจำปี” ยังกับเทศกาลประจำปียังไงยังงั้น เอาล่ะครับ ในเมื่อเรื่องนี้มันยังไม่จบ เราก็คงต้องช่วยกันคิดช่วยกันส่งเสียงต่อไป สำหรับวันนี้ สิ่งที่ผมอยากจะบอกท่านผู้อ่าน รวมไปจนถึงส่งเสียงไปยังผู้มีอำนาจรับผิดชอบ ก็คือ “อย่าหลงทาง” ครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ในการมองและแก้ปัญหา ซึ่งเป็นเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจร่วมกันบนพื้นฐานแห่งความเป็นจริง
เริ่มต้นจาก ต้อง “เข้าใจ” ในตัวปัญหาครับ...ปัญหาฝุ่นพิษเกิดขึ้นจากอะไร?
คำถามนี้ ถูกบิดเบือนและอธิบายไปกันหลากหลาย จนหลายครั้งหลงลืมแก่นแท้ของปัญหา นักวิชาการหลายคนออกมาให้ความเห็นไปต่างๆนานา บ้างบอกว่าเป็นเพราะคอร์รัปชั่น บ้างบอกว่าเป็นเพราะเกษตรกรเผา เรียกว่าโบ้ยให้เกษตรกรไปแล้วเต็มๆ บ้างก็โทษรัฐบาล ต้องบอกว่าสิ่งเหล่านี้คือ “องค์ประกอบ” ไม่ใช่ต้นตอของปัญหาที่แท้จริง
ความจริง (ที่หลายคนไม่อยากยอมรับ) คือ ปัญหาฝุ่นเกิดจาก “คนทุกคนในสังคม” เพราะทุกสิ่งที่เราทำในชีวิตประจำวันก่อให้เกิดฝุ่น PM2.5 ได้ทั้งสิ้น ไล่ไปตั้งแต่ตื่นนอนจนหมดวัน ตื่นเช้ามากวาดหน้าบ้าน ทำกับข้าว ย่างหมูขาย ขับรถไปทำงาน รวมถึงเกษตรกรรมและธุรกิจต่างๆที่ทำ และอื่นๆอีกสารพัด ซึ่งมันมีมาตลอดครับ แต่ประเด็นสำคัญมันอยู่ที่ว่า เมื่อสังคมขยายตัวมากขึ้น คนมากขึ้น กิจกรรมก็มากขึ้น ฝุ่นมันก็มากขึ้นตามไปด้วย นอกจากนี้ช่วงฤดูนี้มักมีอากาศ “ปิด” เลยทำให้มีเหมือน “โดม” ที่ขังฝุ่นเอาไว้ ถ้าเป็นฤดูอื่นมันก็จะลอยออกไปได้ นี่คือสาเหตุที่เราเห็นมันเป็นหมอกควันในช่วงนี้ของทุกปีครับ
เพราะฉะนั้นเรื่องแรกที่ต้องเคลียร์กันเพื่อไม่ให้หลงทางคือ “อย่าโทษกัน” ครับ บางคนลุกขึ้นมาโทษรัฐบาลบ้าง บ้างก็มุ่งเป้าไปที่เกษตรกรว่าเผาเยอะ บลาๆๆ ก็ต้องขอร้องให้ใจเย็นๆกันทุกฝ่ายครับ เพราะจริงๆแล้ว เราร่วมกันสร้างมันมาด้วยกัน
เอาล่ะครับ เมื่อรู้แล้วว่า ปัญหานี้เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจาก “กิจกรรมของคน” ต่อมาเราก็ต้องแยกให้ออกระหว่าง “การแก้ปัญหา” กับ “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” ซึ่งเป็น “สิ่งที่เกี่ยวข้องกันแต่ห้ามเอามาปนกัน”
ถ้าพูดถึงการ “แก้ปัญหา” เพื่อให้ปัญหานี้หายไป เอาเป็นว่าให้ปีหน้าผมไม่ต้องเขียนเรื่องนี้อีกแล้ว อิหรอบนี้ต้อง “ทำใจ” ครับว่า “ไม่มี Quick Win” ย้ำอีกครั้งนะครับ “ไม่มี” เพราะการจะแก้ที่ต้นเหตุ (ซึ่งคือกิจกรรมของเราๆ) ต้องอาศัยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมให้กิจกรรมต่างๆสร้างฝุ่นน้อยลง หรือใช้เครื่องมือหรืออุปกรณ์ใหม่ๆในการทำกิจกรรมต่างๆให้สร้างฝุ่นน้อยลง รัฐจำเป็นต้องเป็นหัวหอกในเรื่องนี้ ต้องสร้างทางออกให้ประชาชน เช่น ผลักดันให้คนเปลี่ยนไปใช้รถไฟฟ้า โดยรัฐให้การช่วยเหลือที่จูงใจมากพอ พร้อมกับบีบเบาๆให้เปลี่ยน เหมือนที่บางประเทศทำ (อย่าไปบีบบังคับเพียงอย่างเดียวเพราะนั่นคือการผลักภาระให้ประชาชน) แต่!! มีแต่ตัวใหญ่ๆ ครับ สังเกตให้ดีๆนะครับว่าสิ่งที่ผมยกตัวอย่างมา...ต่อให้รัฐบาลมีนโยบายแบบนี้ ก็ยังต้อง “ใช้เวลา” ครับ ขีดเส้นใต้คำนี้หนาๆนะครับ “ใช้เวลา”
ดังนั้น “การแก้ปัญหา” จึงเป็น long term ที่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง จึงต้องทำควบคู่กันไปกับ “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” ซึ่งปัจจุบันก็ยังมีความสับสนกันอยู่ระหว่างการ “แก้ปัญหา” กับ “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” ถ้าสังเกตดีๆเราจะเห็นว่า หลายครั้งเราทำเหมือนจะ “แก้ปัญหา” ในเวลาที่เกิดเหตุ เช่น ห้ามเผา ซึ่งพอฤดูกาลผ่านไป ฝุ่นหายไป ก็เลิกทำ เข้าทำนองว่า เอาเรื่อง “แก้ปัญหา” มาทำแบบ “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” ซึ่งผิดฝาผิดตัว และไม่มีประโยชน์เพราะขาด “ความต่อเนื่อง”
ไอ้สิ่งที่ทำเมื่อเกิดเหตุ พอจบฤดูกาลก็เลิกทำ อันนี้เรียกว่า “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” ครับ ซึ่งก็ต้องบอกว่า ทำได้ค่อนข้างดี ไม่ว่าจะเป็น การให้ขึ้นรถไฟฟ้าฟรี การรณรงค์ให้ทำงานอยู่บ้าน เรียนออนไลน์ หรือการให้ใส่หน้ากาก ซึ่งเป็นการลดผลกระทบต่อประชาชนได้บ้าง แต่ก็ยังคงเป็นปลายทาง “ไม่ได้แก้ปัญหา” นะครับ
เรื่องนี้ต้องขอพูดแทนกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สักเล็กน้อย เมื่อเกิดปัญหาฝุ่น หลายคนมุ่งเป้าไปที่สธ. ว่าต้องแก้ปัญหานะโน่นนี่นั่น เราต้องให้ความเป็นธรรมกับสธ.ด้วยครับ เพราะแท้จริงแล้วกระทรวงนี้ มีบทบาทสำคัญในการ “บรรเทาผลกระทบของปัญหา” ไม่ใช่การแก้ปัญหา การแก้ปัญหา (อย่างที่เรียนไปข้างต้นว่า) คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของคนในสังคมให้ได้ ซึ่งสธ.ไม่ได้มีอำนาจโดยตรง ทำได้แค่เมื่อเกิดเหตุการณ์แล้ว จะแนะนำประชาชนอย่างไรในการป้องกัน “ผลกระทบ” ที่อาจเกิดขึ้นต่อสุขภาพรวมถึงการรักษา ที่บอกว่าสธ. ไม่ได้มีอำนาจโดยตรงในการแก้ปัญหา เพราะถ้ามองจริงๆแล้ว ปัญหาที่บอกว่าเกิดจากกิจกรรมต่างๆ สามารถแตกออกได้เป็นรูปแบบหลักๆ ได้แก่ คมนาคม เกษตรกรรม อุตสาหกรรม รวมไปจนถึงฝุ่นข้ามพรมแดน
เมื่อพูดถึงรูปแบบกิจกรรมต่างๆเหล่านี้ สิ่งที่ไม่อยากให้ “หลงทาง” กันอีกหนึ่งประเด็น คือการหลงลืมการมอง “เชิงพื้นที่” ครับ หากพูดถึงปัญหาฝุ่นในพื้นที่กทม.งานวิจัยแทบทุกชิ้นชี้ชัดว่า ต้นตอหลักของฝุ่นอยู่ที่การ “คมนาคม” หรือรถราที่เราใช้กันนี่แหละครับ ดังนั้น หากต้องการแก้ไขปัญหาฝุ่นในพื้นที่ กทม.ให้สำเร็จ ทางแก้หลักจึงไม่ใช่การ “ห้าม หรือ เข้มงวด เรื่องการเผาของเกษตรกร” ครับพี่น้องงงง หลายครั้งที่เห็นหน่วยงานต่างๆ หรือนักวิชาการบางท่านออกมาพูดเมื่อมีฝุ่นในกทม.ว่า “ต้องจำกัดการเผา” เรียนด้วยความเคารพครับว่าต้องไม่หลงทาง และต้องจัดลำดับความสำคัญให้ถูก
การดำเนินการแบบ one size fits all อาจจะไม่เหมาะกับปัญหานี้ และอาจทำให้ประสิทธิภาพในการแก้ปัญหาลดลง รวมถึงเพิ่มความปวดหัวให้ผู้ปฏิบัติงาน จากตัวอย่างข้างต้นการเผาอาจจะต้องเป็นประเด็นรองจากคมนาคม เช่นเดียวกัน ถ้าเป็นพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีการเผาเยอะ ก็ต้องให้ความสำคัญกับการเผาก่อน ประเด็นอื่นๆ เช่น การจะเปลี่ยนให้คนมาใช้รถไฟฟ้านั้น ก็ควรเป็นประเด็นรองลงไปครับ เข้าทำนอง tailored-made ตามพื้นที่นั่นเอง
อีกหนึ่งประเด็นที่น้อยคนพูดถึงคือเรื่อง “ฝุ่นข้ามพรมแดน” ซึ่งเป็นปัญหาสากลที่ควบคุมได้ยาก พูดง่ายๆว่า ต่อให้แก้ปัญหาภายในประเทศได้หมดจดชนิดที่ไม่มีการสร้างฝุ่นเลยแม้แต่เม็ดเดียวในประเทศไทย ในแต่ละปีเราก็ยังจะมีโอกาสได้สูดดมฝุ่นพิษจากต่างแดนอยู่ดี (ยกตัวอย่างแบบเวอร์ๆจะได้เห็นภาพ) เพราะฉะนั้นถ้าจะแก้ไขปัญหานี้ให้เบ็ดเสร็จต้องแก้เรื่องนี้ด้วย
อย่างไรก็ดี ประเด็นนี้มีโอกาสซ่อนอยู่ครับ เพราะปัจจุบันยังไม่มีเวทีที่พูดคุยกันในระดับสากลที่โฟกัสกับเรื่องนี้แบบจริงจัง ว่าจะร่วมมือกันแก้ปัญหาอย่างไร จะใช้กลไกอาเซียนก็ไปติดเรื่องการแทรกแซงกิจการภายใน ดังนั้น นี่คือ “โอกาส” ของประเทศไทยครับ ที่จะลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ เชิญชวนประเทศต่างๆที่ได้รับผลกระทบมาพูดคุยร่วมกัน สร้างมาตรการ บทบาท และข้อตกลงร่วมกันในการแก้ปัญหา นี่จะเป็นสิ่งที่สร้างบทบาทความเป็นผู้นำของไทยได้
สรุปสุดท้ายครับ ปัญหาฝุ่นเป็นปัญหาของ “ทุกคน” เพราะเกิดจากกิจกรรมของเรา เราต้องแยกให้ออกว่าอะไรคือ “การแก้ปัญหา” อะไรคือ “การบรรเทาผลกระทบของปัญหา” และใครควรจะทำอะไร เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกันแต่ห้ามเอามาปนกัน การแก้ปัญหาให้เบ็ดเสร็จคือ long term ที่ต้องเข้าใจและทำใจว่าไม่มี Quick win แต่ต้องอาศัยความต่อเนื่อง และการแก้ปัญหาต่างๆต้องดู “พื้นที่” ประกอบไปด้วยจึงจะถูกฝาถูกตัว และสุดท้าย อย่าลืม “คว้าโอกาส” ที่ซ่อนอยู่ในปัญหานี้ครับ
หวังว่าบทความนี้จะส่งข้อความไปยังรัฐบาลให้ดำเนินการ “แก้ปัญหา” อย่างจริงจังและต่อเนื่อง และต้องเริ่มโดยเร็วเพราะใช้เวลาครับ ในขณะที่ส่งข้อความไปยังท่านทั้งหลายที่โจมตีรัฐบาลประหนึ่งว่าจะให้แก้ปัญหาให้สำเร็จในวันนี้พรุ่งนี้ ว่าก็คงจะต้องใจเย็นๆลงบ้าง...เพราะนั่นก็ไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง
นี่คือสิ่งที่อยากฝากไว้สำหรับปีนี้ หวังว่าปีหน้าจะไม่มีโอกาสเขียนเรื่องนี้อีกครับ
เอ..แค่กๆ ขออภัยครับ เอวัง