ทวี สุรฤทธิกุล
การเมืองในระบบ “น้ำใหม่ไล่น้ำเก่า” จะบังเกิดผลสำเร็จก็ต่อเมื่อ “น้ำใหม่ต้องดีกว่าน้ำเก่า”
ความล้มเหลวของคณะราษฎรภายหลังที่ทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ได้แล้วก็คือ คณะราษฎรกลับพาการเมืองไทยถอยหลังเข้าคลองเหมือนเดิม และยิ่งร้ายแรงกว่าเดิมเพราะสร้างระบบการเมืองแบบ “พวกพ้องบริวาร” จนกระทั่งต้องแบ่งข้างแย่งชิงอำนาจกัน และทำให้การเมืองไทยต้องตกอยู่ในวังวนของ “วงจรอุบาทว์” คือมีประชาธิปไตยสลับกับเผด็จการมาตลอดเวลานี้
คนที่เกิดและเติบโตมาในยุค “ฟ้าสีทองผ่องอำไพ” แบบเดียวกันกับผู้เขียน ในช่วงที่ประเทศไทยปกครองโดยเผด็จการทหารตั้งแต่ยุคของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ จนถึงจอมพลถนอม กิตติขจร คงจะรู้สึกเบื่อหน่ายจนถึงขั้นเกลียดชังทหารเอามาก ๆ แล้วพอเกิดเหตุการณ์วันที่ 14 ตุลาคม 2516 ก็เหมือนจะเกิดอาการ “วี้ดว้ายกระตู้วู้” ดีใจที่ขบวนการนิสิตนักศึกษาสามารถขับไล่ทหารออกไปจากการเมืองไทยไปได้ แต่แนวคิด “ฟ้าสีทองฯ” ก็ขายได้เพียงชั่วขณะ เพราะการเมืองไทยหลังจากนั้นก็ยิ่งปั่นป่วน จนกระทั่งทหารต้องมายึดอำนาจอีกในวันที่ 6 ตุลาคม 2519 ทว่าแนวคิดที่จะล้มล้างอำนาจรัฐก็ยังไม่หมดไป คงกระจัดกระจายกันไปต่อสู้อยู่ในป่าเขา กระทั่งมีนโยบาย 66/2523 ที่ก็เป็นเพราะ “เมตตา” จากรัฐบาลที่มีผู้นำเป็นทหารนั่นแหละ ที่เปิดช่องให้คอมมิวนิสต์ในป่าทั้งหลาย ได้มาใช้ชีวิตตามปกติตามบ้านช่องของตนต่อไป
ใน พ.ศ. 2543 ที่มีการจัดตั้งพรรคไทยรักไทย ก็มีข่าวว่ามีแกนนำคอมมิวนิสต์ที่เคยเข้าป่ามาอยู่ด้วยกับพรรคใหม่นี้ด้วยกันหลายคน เชื่อกันว่า “หัวหน้าหน้าเหลี่ยม” ก็รู้ แต่เห็นว่าน่าจะมีประโยชน์ในเรื่องงานมวลชน ที่จะทำประโยชน์ให้แก่พรรคไทยรักไทยได้มาก จนกระทั่งเรื่องมาปูดเอาในปี 2548 ว่าคนกลุ่มนี้(พวกคอมมิวนิสต์ในพรรคไทยรักไทย)มีแผนที่จะเปลี่ยนสังคมไทยไปเป็นแบบที่คณะราษฎรเคยคิดไว้ คือ “ไม่เอากษัตริย์” กระทั่งเมื่อเกิดการรัฐประหารในวันที่ 19 กันยายน 2549 คนกลุ่มนี้ก็ไปนัดหมายกันที่ประเทศฟินแลนด์ มีการพูดคุยกันทางการเมือง เกิดเป็น “ปฏิญญาฟินแลนด์” นำมาสู่การพยายามฟื้นฟูอำนาจผ่านกระบวนการคนเสื้อแดงและน้องสาวนายหน้าเหลี่ยม จนเกิดจลาจลอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 และจบลงด้วยการรัฐประหารในวันที่ 22 พฤษภาคม 2557
อย่างไรก็ตาม การเมืองไทยในช่วง 2549 ถึง 2557 ที่ทหารพยายามจะเข้ามา “ฟื้นฟูประชาธิปไตย” พร้อม ๆ กับที่พยายามจะกำจัด “ระบอบทักษิณ” ก็ไม่ประสบความสำเร็จ อย่างกรณีที่สื่อตั้งฉายาให้กับรัฐบาลหลังการรัฐประหาร 2549 ว่า “ปัสสาวะไม่สุด” เพราะผู้นำทหารรวมถึงอำมาตย์บางคนก็แอบไปสมคบกับนายหน้าเหลี่ยม เล่นละครว่ากำลังจะจัดการไล่ล่าเอาตัวมารับโทษ แต่ในขณะเดียวกันก็ปล่อยให้เดินลอยชายอยู่ในต่างแดน แม้แต่ภายหลังรัฐประหาร 2557 ผู้นำทหารและกลุ่มอำมาตย์ก็ยังเล่นบท “สองหน้า” หน้าหนึ่งก็ไม่ให้อภัย “นักโทษพี่น้อง” แต่อีกหน้าหนึ่งก็แอบให้ความหวังแก่นักโทษทั้งสองว่าจะได้กลับบ้าน ดังความจริงที่ปรากฏขึ้นในที่สุดว่า นักโทษหน้าเหลี่ยมก็ได้กลับประเทศไทยเมื่อปีที่ผ่านมา
ในช่วงนี้เองที่ “ผีคณะราษฎร” ได้ฟื้นคืนชีพ ตั้งแต่ที่มีกระบวนการนี้เกิดขึ้นในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ภายหลังการรัฐประหาร 2557 โดยมี “ผีคอมมิวนิสต์” ในร่างอาจารย์ได้ถ่ายทอดแนวคิดต่าง ๆ ผ่านนักศึกษาและกลุ่มคนต่าง ๆ ผ่านสื่อต่าง ๆ ทั้งในการเรียนการสอนและโซเชียลมีเดีย รวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยยึดโยงและอ้างถึงแนวคิดของคณะราษฎร โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของขบวนการ “3 กีบ” และ “ม.112” ที่มีการจับกุมผู้คนในกลุ่มเหล่านี้ขึ้นศาลจนถึงขั้นติดคุกกันไปหลายคน แต่กระบวนการนี้ก็ยังกล้าที่จะแสดงออกทางการเมืองมากขึ้น โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของพรรคอนาคตใหม่ ในการเลือกตั้งเมื่อ พ.ศ. 2562 ที่ในปัจจุบันมาอยู่ในร่างของพรรคประชาชน
แม้จะไม่มีข้อมูลในทางเปิดว่า คนพวกนี้ “คิดร้าย” กับประเทศไทย แต่ถ้าเราจะเชื่อมโยงจากปรากฏการณ์ทางสังคมบางอย่าง โดยเฉพาะชีวิตของผู้คนตั้งแต่ภายหลังการสวรรคตของรัชกาลที่ 9 ในเดือนตุลาคม 2559 เช่น ในโรงภาพยนตร์ที่จะต้องมีการลุกยืนเมื่อขึ้นเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็ไม่เคร่งครัดดังเดิม ก็เกิดความไม่สบายใจของคนในรุ่นเก่า ที่ยังมีความเคารพสถาบันนั้นอยู่ อีกทั้งในสังคมก็มีการ “แอบแซะ” สถาบันกันอยู่มากมาย ทำให้คนบางกลุ่มเกิดความกังวล ถึงขั้นเมื่อมีการเคลื่อนไหวใน “ภาพลักษณ์ใหม่ ๆ” ที่จะมี “สิ่งดี ๆ” เพิ่มเข้ามาเสริมภาพลักษณ์ให้สถาบัน ผู้คนจำนวนหนึ่งก็เกิดอาการ “ฮือฮา” อยู่เป็นระยะ
ทั้งนี้ไม่ต้องพูดถึง “สถาบันกองทัพ” ที่ตกเป็นเป้ามาทุกยุคทุกสมัย ซึ่งเมื่อ “ปัสสาวะไม่สุด” และยิ่งมี “ดีลลับลังกาวี” ทหารก็เลยถูกมองว่าเป็น “พาหะแห่งโรคร้าย” ที่นำ “อหิวาหน้าเหลี่ยม” กลับคืนมาในดินแดนไทย แน่นอนว่าถ้าในเวลาต่อไปแล้วเกิดมี “อันตราย” เกิดขึ้นกับสถาบันอันเป็นที่เคารพสูงสุด และการเมืองไทยต้องตกไปอยู่ภายใต้การควบคุมของ “คอมมิวนิสต์ใหม่” กลุ่มนี้ คนที่รับผิดชอบด้วยโดยตรงก็คือ “ทหาร - ผู้พิทักษ์สถาบัน” นี่เอง
ผู้เขียนไม่โทษทหารที่ทำให้การเมืองไทย “เละเทะ” อย่างนี้ เพราะมีคนอีกหลายกลุ่มร่วมสร้างความเละเทะนี้ให้เกิดขึ้นอยู่ด้วย กระนั้นก็ยังหวังพึ่งทหารอีกนั่นแหละที่จะมาช่วยกวาดล้างการเมืองไทยให้สวยสะอาดขึ้นบ้างต่อไป เพียงแต่ทหารจะทำงานนี้เพียงลำพังก็ไม่ได้เช่นกัน ต้องอาศัยความร่วมมือของทุก ๆ สถาบันในประเทศ ตั้งแต่สถาบันสูงสุดจนถึงล่างสุด!
วิธีที่ตรงไปตรงมาที่สุดก็คือการ “สร้าง” รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพื่อจัดวางกลไกและกระบวนการต่าง ๆ ให้นำไปสู่ “การเมืองใหม่” ที่จะปกป้องทุกคนทุกสถาบันให้มีความสุขและมั่นคงปลอดภัย
เราเคยมีรัฐธรรมนูญมาแล้ว 20 กว่าฉบับ บางฉบับเชื่อว่าเพื่อฟื้นฟูอำนาจมาสู่พระมหากษัตริย์ บางฉบับเชื่อว่าเป็นการประสานอำนาจระหว่างข้าราชการกับนักการเมือง รวมถึงบางฉบับที่เรียกว่าเป็นรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน แต่ทั้งหมดนั้นกลับล้มเหลวไปแล้วทั้งสิ้น
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “กษัตริย์นิยม” อย่างยิ่งคนหนึ่ง ท่านเคยเตือนรัฐบาลในช่วงที่ “อิงกษัตริย์” มาก ๆ ว่า จะทำให้ “พังกันไปหมด” ซึ่งก็เกิดขึ้นจริง ๆ อย่างที่ได้เห็นในช่วงครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานี้ แม้จะยัง “พังไม่หมด” แต่ก็มีส่วนเสียหายไปมากพอสมควร และน่ากลัวว่าหากปล่อยให้เป็นเช่นนี้ก็อาจจะ “พังไปหมด” ได้ในไม่ช้านี้
ท่านอาจารย์คึกฤทธิ์ท่านรักพระมหากษัตริย์หมดใจ แต่ท่านก็รักประเทศไทยและคนไทยมาก ๆ เช่นกัน ทั้งนี้ท่านหวังที่จะให้ประเทศไทย “ปกครองโดยใคร” และ “อย่างไร” ก็น่าสนใจมาก ๆ ครับ