สถาพร ศรีสัจจัง

ด้วยข้อหาที่ว่า “กลุ่มฮามาส” ในดินแดนปาเลสไตน์-ที่ถูกตีตราและประกาศโดยประเทศ “อภิ” มหาอำนาจอย่างสหรัฐอเมริกาแล้วว่าเป็น “กลุ่มก่อการร้าย” (Terrorrist) ซึ่งเป็นคำที่ภายหลังประเทศที่มักเรียกตัวเอง “ฝ่ายโลกประชาธิปไตย” ทั้งที่พัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา(แต่ทั้งหมดล้วนตกอยู่ใต้อาณัติเชิงอำนาจของสหรัฐอเมริกาในด้านใดด้านหนึ่ง) ต้อง “เดินตาม” ประกาศดังกล่าว

และออกกฎหมายภายในประเทศตามแนวทางที่ “ลูกพี่” ตั้งขึ้น  ทั้งโดยแรงกดดันโดยทางตรง ผ่านองค์กรเสือกระดาษ(สำหรับชาติมหาอำนาจ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา)อย่าง “องค์การสหประชาติ” United Nation Organization),และการกดดันทางอ้อมในรูปแบบต่างๆ เช่น การ “บอยคอต” (Boycott)และแซงก์ชัน (Sanction) เป็นต้น

ดังนั้นเมื่อกลุ่มฮามาสเข้าโจมตีพื้นที่ชายแดนของอิสราเอล ทำให้มีผู้คนสูญเสียชีวิตไปประมาณ 1,200 คน และลักพาตัวไปจากพื้นที่ดังกล่าวอีกจำนวนหนึ่งคือประมาณ 250 คน(มีขาวไทยที่ไปเป็นแรงงานรับจ้างทำการเกษตรอยู่จำนวนหนึ่งด้วย)อิสราเอลจึงเริ่มต้น “ถล่มผู้คน และ บ้านเมือง” ปาเลสไตน์อย่างไม่ปรานี อย่างไม่จำแนกประเภทและเผ่าพันธุ์ ทั้งทหาร และ พลเรือน ทั้งผู้หญิงและเด็ก ทั้งผู้สื่อข่าว หมอและพยาบาล เป็นต้น

อิสราเอลภายใต้การสนับสนุนอย่างสุดจิตสุดใจของสหรัฐอเมริกาและชาติใหญ่ๆในยุโรปเช่น อังกฤษ เยอรมนี และฝรั่งเศส ก็ถล่มแผ่นดินปาเลสไตน์ทุกจุดทุกพื้นที่ตามที่ใจเชื่อและต้องการ ภายใต้สิ่งที่เรียกว่า “การป้องกันตัวเอง”

ด้วย “มหาสรรพาวุธ” สมัยใหม่ที่สุดแสนทันสมัย และ ทรงมหิทธานุภาพทุกรูปแบบ ทั้งสร้างขึ้นเองและที่ได้รับการสนับสนุนทุกทางจากจักรวรรดินิยมอเมริกา!

นับตั้งแต่เกิดสงครามระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาสมาตั้งแต่วันที่7 ตุลาคม 2566 จนถึงวันนี้ 15 มกราคม 2568 นับเวลาได้แล้วทั้งสิ้นรวม 15 เดือนกับ 8 วัน ฟังข้อมูลแบบ “ค่อนทางการ” จากหลายแหล่งพบว่า มีความเสียหายเกิดขึ้นกับทั้ง 2 ฝ่ายอย่างมากมายมหาศาล โดยเฉพาะฝ่ายปาเลสไตน์ ด้วยข้ออ้างของอิสราเอลที่ว่าต้องการทำให้กลุ่มนักสู้ "ฮามาส"สิ้นซาก ไม่สามารถก่อพิษสงอะไรต่อ อิสราเอลได้อีกในภายภาคหน้า และเมื่อกลุ่มอามาสตั้งกองกำลังอยู่ในปาเลสไตน์ เพราะฉะนั้นพื้นที่ของปาเลสไตน์ที่มีผู้คนอยู่ทั้งหมดจึงจะต้องถูกทำลายเพราะประเทศอิสราเอล(ใช้ข้ออ้างว่า มีทหารฮามาสซุ่มซ่อนอยู่ทุกแห่งทุกพื้นที่ที่มีชาวปาเลสไตน์อาศัยอยู่!)

องค์การสหประชาติลงมติอะไรก็ไม่เคยรับฟัง ทั้งยังประกาศอย่างแข็งกร้าวว่า เลขาธิการขององค์การแห่งนั้น (ซึ่งได้รับการโหวตมาจากตัวแทนประเทศของตนด้วย) แบบ “ประชาธิปไตย” เป็น “บุคคลต้องห้าม” ห้ามเข้าประเทศศักดิ์สิทธิ์ของตน!

จากนั้นก็ถล่มประเทศปาเลสไตน์ (ที่ประเทศอิสราเอลสหรัฐอเมริกาและประเทศสาวกไม่เคย ยอมรับให้เป็น “ประเทศ”หรือ “รัฐ” อย่างถูกต้องชอบธรรม

ทั้งสหรัฐอเมริกาและอิสราเอล โดยเฉพาะอิสราเอล เหมือนกับลืมไปสิ้นเชิง เหมือนกับไร้สามัญสำนึก ไร้ประวัติศาสตร์แห่งความทรงจำ ว่า ประเทศตนเคยผ่านการต่อสู้เพื่อการให้ชาวโลกยอมรับความเป็น “รัฐ” มาอย่างไร

เวลา 15 เดือน 8 วัน (นัยถึงวันที่ 15 มกราคม 2568) เป็นเวลาที่ชาวโลกทั้งโลกต้องตราไว้ว่า คือช่วงยามแห่งความอำมหิต ที่ชนชั้นนำหรือ “ชนชั้นปกครอง” หรือ ผู้ที่ได้รับเลือกให้ขึ้นไปเป็นประธานาธิบดีตามหลักการของ “ระบอบประชาธิบไตย”อันศักดิ์สิทธิ์และทรงคุณธรรม ของ 2 ประเทศ (เป็นอย่างน้อย)คือ ประเทศอิสราเอลและสหรัฐอเมริกา นามนายเนทันยาฮูและนายโจ ไบเดน ตามลำดับ

ได้ร่วมกันสั่งการฆ่าคน(มนุษยชาติ)ทั้งพลเรือน เด็ก ผู้หญิง คนชรา และคนพิการ บนแผ่นดินปาเลสไตน์ ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ทั้งกลางวันและกลางคืน อย่างไร้ความเมตตาปรานี และอย่างไร้มนุษยธรรมโดยสิ้นเชิง

สร้างประวัติศาสตร์การทำลายโลกที่สามานย์ที่สุดขึ้นอีกซีกหน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ของ เผ่าพันธุ์ชาว “เซเปียนส์” (ที่เคยได้พัฒนาเป็น “มนุษย์” ที่แปลว่า “ผู้มีใจสูง” มาแล้วช่วงหนึ่ง!)

ทั้งเด็ก ผู้หญิง คนชรา คนพิการ หมอ พยายาล ผู้สื่อข่าว และสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ในแผ่นดินปาเลสไตน์ถูก “ฆ่า” และทำลายลง อย่างไม่มีการแยกแยะประเภทคน ว่าใครผิดใครถูก ใครคือผู้บริสุทธิ์ ใครคือ “อาชญากร” ที่ควรถูกลงโทษ

บ้านเรือน โรงเรียน โรงพยาบาล และพื้นที่เกษตรกรรมถูกทำลาย ผู้คนขาดน้ำขาดอาหาร ขาดที่อยู่อาศัย ขาดยารักษาโรค และถูกทำให้ “ไม่เหมือนมนุษย์” โดยฝีมือของ “ซาตาน” ผู้ไม่กลัว “ไฟนรก”!

แล้วไฟนรกก็มา!