ร้อยเอก ดร.จารุพล เรืองสุวรรณ

อาจารย์ประจำคณะการทูตและการต่างประเทศ

มหาวิทยาลัยรังสิต

ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้ไปทำบุญที่วัดปทุมคงคาราชวรวิหารแถวๆเยาวราช จึงได้มีโอกาสไปกราบอัตถิของท่านอาจารย์ ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ที่บรรจุอยู่ในวัดแห่งนี้ จึงได้นึกย้อนไปถึงบทความชิ้นหนึ่งที่ท่านเขียนครับ... “จากครรภ์มารดาถึงเชิงตะกอน” ซึ่งเป็นหนึ่งในงานเขียนอมตะที่มีค่าอย่างยิ่งต่อสังคมไทย แต่ก็อย่างที่ทราบกันครับ ว่าจนถึงวันนี้ หลายอย่างก็...ยังไม่เกิดขึ้น วันเด็กที่ผ่านมาหมาดๆ จึงทำให้ผู้เขียนได้นั่งคิดว่า อะไรหนอ? ที่สำคัญและจำเป็นสำหรับ “เด็ก” ในการจะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแรงและมีความสุข สัปดาห์นี้เลยคิดว่า จะนำเอาสิ่งที่อาจารย์ป๋วยเขียนไว้เกี่ยวกับเด็ก ในบทความสุดคลาสสิกมาตีแผ่และต่อยอด เผื่อว่าจะได้แนวทางสำหรับการพัฒนาชีวิตเยาวชนของชาติในอนาคต

“เมื่อผมอยู่ในครรภ์ของแม่ ผมต้องการให้แม่ได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์ และได้รับความเอาใจใส่ และบริการอันดีในเรื่องสวัสดิภาพของแม่และเด็ก ผมไม่ต้องการมีพี่น้องมากอย่างที่พ่อแม่ผมมีอยู่ และแม่จะต้องไม่มีลูกถี่นัก

พ่อกับแม่จะแต่งงานกันถูกกฎหมายหรือธรรมเนียมประเพณีหรือไม่ ไม่สำคัญ แต่สำคัญที่พ่อกับแม่ต้องอยู่ด้วยกันอย่างสงบสุข ทำความอบอุ่นให้ผมและพี่น้อง ในระหว่าง 2-3 ขวบแรกของผม ซึ่งร่างกายและสมองผมกำลังเติบโตในระยะที่สำคัญ ผมต้องการให้แม่ผมกับตัวผมได้รับประทานอาหารที่เป็นคุณประโยชน์

ผมต้องการไปโรงเรียน พี่สาวหรือน้องสาวผมก็ต้องการไปโรงเรียน จะได้มีความรู้หากินได้ และจะได้รู้คุณธรรมแห่งชีวิต ถ้าผมมีสติปัญญาเรียนชั้นสูงๆขึ้นไป ก็ให้มีโอกาสเรียนได้ ไม่ว่าพ่อแม่ผมจะรวยหรือจน จะอยู่ในเมืองหรือชนบทแร้นแค้น เมื่อออกจากโรงเรียนแล้ว ผมต้องการงานอาชีพที่มีความหมาย ทำให้ได้รับความพอใจว่าตนได้ทำงานเป็นประโยชน์แก่สังคม”

นี่คือสิ่งที่เกี่ยวกับเด็กที่อาจารย์ป๋วยเขียนไว้ในบทความ จะเห็นได้ว่า บางมิติได้รับการพัฒนาขึ้นแล้วจากในยุคสมัยของท่าน อาทิ การมีลูกไม่มาก พอเหมาะกับความสามารถในการเลี้ยงดู หรือแม้แต่การสมรสเท่าเทียม แต่หลายเรื่อง ก็ยังต้องยอมรับว่า...ยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร เช่น ในด้านสวัสดิการและโภชนาการของแม่และเด็ก การศึกษา และความอบอุ่น

ด้านโภชนาการและสวัสดิการของแม่และเด็ก เป็นมิติที่มีการพัฒนาที่ดีขึ้น แต่ยังคงเป็นการพัฒนาที่ค่อนข้างกระจุกตัว ในหลายๆพื้นที่ชนบทยังขาดแคลน ทั้งในแง่ของความรู้และบริการจากภาครัฐ องค์ความรู้ที่ว่า แม่ควรกินอะไร ไม่ควรกินอะไร ควรดูแลตัวเองยังไง เด็กแรกเกิดควรได้รับการดูแลอย่างไร อาจเป็นเรื่องปกติที่รู้กันในหมู่คนเมืองแต่ยังไม่ครอบคลุมทั้งประเทศ นอกจากรู้ว่าควรกินหรือดูแลอย่างไรแล้ว ความสามารถในการเข้าถึงอาหารที่ดีและถูกต้องนั้น ก็ยังมีข้อจำกัด ทั้งๆที่ควรเป็นเรื่องที่ได้รับความช่วยเหลืออย่างทั่วถึง ให้แม่และเด็กทั่วประเทศ มีความ “เท่าเทียม” กันในความสามารถที่จะได้เกิดและมีสุขภาพดีไม่ว่าจะรวยหรือจน เพื่อความมั่นคงของชาติในด้านประชากร นักโภชนาการแม่และเด็ก รวมถึงผู้เชียวชาญด้านการดูแลครรภ์ ควรได้รับการผลิตเพิ่มเติม และบรรจุไปในรพ.สต.ทั่วประเทศ ใช้ node ต่างๆเหล่านี้ที่มีอยู่แล้วให้มีประโยชน์สูงสุด ให้กระจายตัวและใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ดูแลประชาชนได้ตั้งแต่ครรภ์มารดาจนเป็นเด็กน้อย

ด้านการศึกษา ต้องเริ่มตั้งแต่ 2-3 ขวบปีแรก ไปจนถึง 6 ขวบ หรือที่เรียกว่า “ช่วงเวลาทอง” ของการพัฒนา เพราะสมองมนุษย์จะมีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดในช่วงเวลานี้ พลาดจุดนี้ต้องบอกว่า “เสียดาย” ดังนั้น นอกจากมิติเชิงกายภาพที่ต้องการพัฒนาอย่างมากในช่วงนี้แล้ว การศึกษาทักษะต่างๆก็เช่นกัน แต่ต้องเป็นการพัฒนาเชิงทักษะและกายภาพ ไม่ใช่วิชาการ เช่น การพัฒนาทักษะด้านภาษา หรือกลไกต่างๆของสมองผ่านการเล่น รวมไปถึงการเข้าถึงของเล่นที่ช่วยพัฒนาทักษะต่างๆ ภาครัฐจำเป็นต้องช่วยในการผลิตนักพัฒนาการเด็กและกระจายลงไปยังรพ.สต.ต่างๆ ให้รพ.สต.มีความเป็นศูนย์เลี้ยงดูและพัฒนาเด็กประจำท้องถิ่น มีทั้งผู้เชี่ยวชาญและของเล่นดีๆที่ปกติอาจมีข้อจำกัดในการเข้าถึง ให้เด็กไทยได้เล่นได้พัฒนาอย่างเท่าเทียมกัน มิใช่แค่ลูกคนรวยเท่านั้น เมื่อโตขึ้นการศึกษาภาคบังคับ และระดับอุดมศึกษา ก็ควรต้องได้รับการปฏิรูปทั้งระบบ เอาการศึกษาเป็นที่ตั้งสำคัญในการพัฒนาประเทศ พร้อมๆไปกับการพัฒนาตลาดงานให้รองรับได้ทุกสาขาวิชา

สุดท้าย “ความอบอุ่น” เป็นสิ่งที่ต้องพัฒนาอย่างเร่งด่วน เพราะทุกวันนี้ขาดหายไปเสียมาก พ่อแม่ต้องทำงานในเมืองใหญ่ ทิ้งลูกไว้กับปู่ย่าตายายแก่เฒ่า ขาดความอบอุ่นและการพัฒนาของสมองไปมากโข นำไปสู่ปัญหาสังคมอีกมากมายตามมา โจทย์นี้ จึงเป็นโจทย์ด้านเศรษฐกิจ ว่าจะทำอย่างไรให้คนไทย “กลับบ้าน” ได้มากขึ้น เอางาน เอาความมั่งคั่ง เอาชีวิตที่ดีกระจายออกไปยังชนบท ให้กรุงเทพฯเป็นเมืองที่มาท่องเที่ยวยามว่างจากการทำงาน แต่หากินหาอยู่ หาความร่ำรวยได้จากบ้านเกิดของตน เป็นอีกเรื่องที่ต้องปฏิวัติกัน และแน่นอนรัฐต้องช่วยในการปรับปรุงโครงสร้างนี้

ผมขออุทิศบทความนี้ให้แก่อาจารย์ป๋วย อึ๊งภากรณ์ และขอมอบให้เป็นของขวัญวันเด็กแก่เด็กไทยทุกคนครับ แม้ว่าสิ่งที่อาจารย์ป๋วยกล่าวไว้จะยังไม่สมบูรณ์ แต่อย่างน้อยที่สุด ก็อยากเห็นเด็กไทยได้เติบโตแข็งแรง...จากครรภ์มารดาสู่โลกใบใหญ่ ครับ

เอวัง